20150912

การขับรถกว่า 700 ไมล์ เพื่อมาเป็นอาสาสมัคร หลังเกิดเหตุการณ์ 9/11 ทำให้ชีวิตของชายคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
——————————————————————————
ก่อนวันที่ 11 กันยายน 2001 นิค แบรนแฮม อาจจะอธิบายตัวเองว่าเป็นพวกเสือผู้หญิงที่ชอบกินเบียร์ไปวันๆ หนึ่ง หนุ่มน้อยชาวใต้วัย 23 ปี จากรัฐเคนตักกี ที่มักจะมองเห็นแต่เรื่องของตัวเอง ชอบทำสิ่งต่างๆ ตามใจตนเอง ใช้จ่ายเงินของเขาไปกับสิ่งที่เขามองว่ามันเหมาะสม แต่หลังจากเครื่องบินเหล่านั้นถูกสลัดอากาศจี้เพื่อไปชนตึกเวิร์ลเทรดเซ็น เตอร์ นิคก็มีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปภายในชั่วพริบตา

เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เหลือในประเทศ นิครู้สึกหดหู่ใจทันทีที่ได้ฟังการรายงานข่าวในวันนั้น ทั้งที่ตัวเขาเองไม่ได้รู้จักใครที่สูญเสียในเหตุการณ์การโจมตีนั้นเป็นการ ส่วนตัว นิครู้สึกว่าเขาต้องช่วยอะไรซักอย่าง ยิ่งเวลาผ่านไป ความรู้สึกนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้นๆ

“ผมรู้สึกแย่มากๆ ทุกๆ คำตอบที่ผมได้รับหลังจากการสวดภาวนาก็คือผมต้องไป” นิคเล่าย้อนความรู้สึกเมื่อปี 2001 ให้ โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรชื่อดังฟัง

และหลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง เขาก็ออกเดินทาง นิคถอนเงินเก็บทั้งหมดออกจากบัญชีตัวเอง ลาออกจากงานและกระโดดขึ้นรถ ขับรถกว่า 700 ไมล์ออกจากรัฐเคนตักกีเพื่อเดินทางมายังเมืองนิวยอร์ค นับเป็นการเดินทางมาเมืองใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา

“ผมมาถึงอุโมงค์ลินคอล์นตอนราวๆ 8 โมงเช้าของวันพฤหัสบดี (13 กันยายน)” นิคเล่า “ผมเดินเข้าไปหาตำรวจคนแรกที่ผมเห็นบนถนน ผมพูดออกไปว่า ‘คุณตำรวจครับ ผมเพิ่งขับรถมาจากเมืองเคนตักกีทั้งคืน มีที่ไหนบ้างไหมครับที่ผมสามารถไไปช่วยเป็นอาสาสมัครได้?’ ”
ด้วยใจที่มุ่งมั่น นิคเข้าร่วมกับอาสาสมัครคนอื่นๆ จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เพื่อช่วยเหลืองานกู้ชีพกูภัยในที่เกิดเหตุ เขาคว้าพลั่วมาไว้ในมือเป็นสิ่งแรกทันทีที่เห็นและเริ่มต้นขุด แม้ว่าสิ่งที่เขาขุดขึ้นมาจะเป็นข้าวของธรรมดาที่สามารถเห็นได้ทั่วไป แต่มันก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาเป็นอย่างมาก

“ผมขุดลงไปจนเจอกับลิปสติกแท่งหนึ่ง คุณเอ๊ย มันเป็นเรื่องที่เศร้าที่สุดที่ผมเคยเจอเลยก็ว่าได้ที่ได้เห็นมัน” เขากล่าวทั้งน้ำตา “เพราะมันอาจจะเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง…”

ทุกครั้งที่มีการส่งสัญญาณนกหวีดให้อาสาสมัครหยุดการขุดหลายต่อหลายครั้ง “มันหมายถึงให้ทุกคนเงียบ ผมเดาว่าพวกเขากำลังใช้อุปกรณ์ช่วยฟังเสียง เพื่อพยายามจะฟังว่ายังมีใครที่ติดอยู่ข้างใต้ (ซากปรักหักพัง) อีกหรือไม่” นิคเล่าให้โอปราห์ฟัง “มันเป็นเสียงที่น่าขนลุกที่สุดที่คุณอาจจะเคยได้ยินมาทั้งชีวิต มันคือความเงียบงันของคนเกือบ 2,000 คนบนกองซากเศษเหล็ก”
ช่วงเวลาห้าทุ่มครึ่งของวันนั้น นิคกล่าวว่าอาสาสมัครทุกคนได้รับคำแนะนำให้กลับบ้านไปก่อน เพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะทำการค้นหาต่อไป “ผมออกมาจากที่เกิดเหตุหลังจากนั้น แต่ตลอดเวลาผมก็คิดว่า ‘คนเหล่านั้นยังติดอยู่ข้างใต้ที่ตรงนี้นะ’ ” เขากล่าว “ผมรู้สึกแย่มากๆครับ”

นิคกลับไปยังบ้านเกิดที่เคนตักกีพร้อมกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ทั้งผลจากโศกนาฏกรรมและจากมิตรภาพที่ดีงามที่เขาได้พบเจอกับตนเองตรงพื้นที่ กราวน์ซีโร

“มันคือการทำงานเป็นทีมที่ใหญ่ที่สุด ที่คุณอาจจะไม่เคยได้เห็นมาเลยตลอดชีวิต ไม่มีใครพูดอะไรกับคนที่อยู่ข้างๆ กันเพื่อให้กำลังใจกัน” เขากล่าว “แต่คุณจะเริ่มมองสิ่งที่คุณได้ทำกับชีวิตของคุณอย่างจริงจังมากขึ้น และจะพยายามแก้ไขมันเท่าที่คุณจะทำได้ เพื่อให้ชีวิตของคุณดีขึ้นนับจากบัดนี้เป็นต้นไป”

นั่นคือเหตุการณ์เมื่อ 14 ปีที่แล้ว แล้วตอนนี้ล่ะ พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง นิคเล่าว่า ตอนนี้เขาแต่งงานแล้วและเพิ่งมีลูกชายคนแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และนิคก็ยังกล่าวว่า เขายังคงดำเนินการตามแผนที่ตั้งใจไว้ว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางบวกให้ กับชีวิตของตนเองได้เป็นอย่างดี

“ผมหยุดการออกไปเที่ยวกับคนไม่ดี นั่นคือสิ่งแรก” นิคกล่าว “และผมก็เอาเวลามายุ่งกับการใช้ชีวิตและเลิกกังวลกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น หรือมัวแต่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นรึเปล่า”

“ผมเริ่มกลับมามองชีวิตอย่างจริงจังและมองเห้นว่าผมสามารถเปลี่ยนแปลงมันและ ทำมันให้ดีขึ้นได้ และผมก็ทำมันได้จริงๆ” เขาเล่าต่อ “ตอนนี้ผมมีบ้านอยู่ริมน้ำ มีลูกชายและภรรยาที่แสนวิเศษ มันทำให้รู้สึกตื้นตันทุกครั้งที่พูดถึงมัน”

ประสบการณ์การได้ทำงานอาสาสมัครของเขายังได้สอนนิคให้รู้จักบทเรียนอันทรงคุณค่าของพลังที่เกิดจากการไม่เห็นแก่ตนเองเป็นใหญ่

“โอกาสมากมายจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีวันสิ้นสุด จากการที่คุณออกไปช่วยเหลือใครซักคน” เขากล่าว “ดังนั้น ถ้าคุณมีโอกาสที่จะช่วยใครสักคนแล้ว จงออกไปช่วยพวกเขาซะ”

(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.huffingtonpost.com/…/nick-branham-911_55f2df85e4…)
——————————————————————————

การเริ่มต้นออกไปช่วยเหลือคนอื่นผ่านการทำงานอาสาสมัคร ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงภายในตน เองของทุกคนได้เช่นกันค่ะ

ทางเครือข่ายจิตอาสา ขอร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์ 9/11 ที่เกิดขึ้นเมื่อ 14 ปีก่อน และขอร่วมสดุดีเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทุกคน ที่ได้อุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่นในเกตุการณ์ครั้งนั้นค่ะ