“ใครจะเชื่อว่าค่ายอาสา  มันเปลี่ยนชีวิตลูกผมได้!”

ตอนนั้นเขาอยู่ม.5 เป็นช่วงปิดเทอมและเป็นครั้งแรกที่ผมชวนเขาไปค่าย เขาอยากรู้ก็ลองไปดู มันเป็นค่ายอาสาที่ จ.น่าน พวกเราลงแรงช่วยกันทาสีอาคารเรียน ซ่อมโต๊ะเก้าอี้ ผมบอกลูกว่าอย่านิ่งดูดาย ถึงเราจะไม่ใช่ช่าง แต่อะไรที่เราช่วยได้ก็ช่วยๆกัน เหมือนกับว่าเขาก็ไม่ได้รังเกียจงานอาสา ซึ่งหลังกลับมาผมรู้สึกว่าเขาคิดได้มากขึ้น จากแต่ก่อนเขามีโลกส่วนตัวสูง เอาแต่เล่นเกมอยู่ในห้อง ไม่เคยคิดจะช่วยงานอะไรผมเลย แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเขาอยากอาสา อยากช่วยเหลือ แค่เขาถามผมว่า “มีอะไรให้เขาช่วยไหม?”  ประโยค สั้นๆแต่มันก็ทำให้ผมยิ้มไม่หุบ แม้ว่าค่ายอาสาบ้านปาเกอะญอลูกของผมไม่ได้ไปด้วย แต่ผมก็เชื่อว่าเขาส่งแรงใจมาแทนแรงกายเชียร์ผมแน่นอน

ผม เชื่อว่าหลายคนในที่นี้ยังไม่เคยสัมผัสการออกค่ายอาสาอย่างจริงๆจังๆกันใช่ ไหมครับ ถ้ามีเวลาหรืออยากเจอแรงบันดาลใจใหม่ๆ ก็ลองทำมันดูสิ ผมคิดว่าอายุเท่านี้ เรายังมีแรง เราก็ยังออกไปทำในสิ่งที่เราอยากทำได้ ทำประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ แต่จะรอให้เราพร้อม ถึงตอนนั้นร่างกายมันอาจจะไม่ไหวแล้ว

เดิมทีผมทำงานในฝ่ายงานสัมพันธ์ขององค์กรแห่งหนึ่ง ก็มักจะชอบช่วยเหลือคนในฝ่าย จนรู้สึกว่าตัวเราเองก็มีน้ำใจเหมือนกันนะเนี่ย เป็นพวกจิตอาสายังไงยังงั้น ถ้านับๆดูแล้วผมก็ออกค่ายมาหลายที่ไปมาหลายจังหวัดแล้วเหมือนกัน เลย อุบลฯ สระแก้ว ประจวบฯ เพชรบุรี ราชบุรี และอีกหลายๆแห่ง ซึ่งแต่ละที่ผมก็มักจะได้แรงบันดาลใจใหม่ๆกลับมาเสมอ


ห้องสาธารณูปโภค และ เรือนนอนเด็กหญิง รร.ตำรวจตระเวนชายแดนหนองแขม อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

 

อาคารโรงอาหาร จ.แม่ฮ่องสอน

ค่ายส่วนใหญ่ที่ผมไปเดินทางค่อนข้างนาน จากระยะทางที่ไกลจะเข้าไปในแต่ละค่ายก็ยากลำบาก บางทีต้องขับรถลุยแอ่งน้ำขนาดใหญ่เข้าไป ตอนนั้นผมไปที่ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ใช้เวลานานร่วม 4 วัน เพราะแค่เวลาเดินทางก็ปาเข้าไปจะเป็นวันอยู่แล้ว ซึ่งพอพวกเราไปถึงที่หมาย เราก็เริ่มทำตามที่เราแพลนไว้ โดยปริมาณงานทางค่ายจะแบ่งคนให้เหมาะกับงาน เช่น แบ่งกลุ่มทาสีอาคารเรียน 5 หลัง อีกกลุ่มช่วยงานซ่อมหลังคาห้องสมุดหรือโรงอาหาร เป็นต้น

ส่วนค่ายอาสาล่าสุดที่ผมไปมา มันเป็นค่ายอาสาสร้างโรงเรียนที่บ้านปาเกอะญอ จ.เพชรบุรี ซึ่งทางกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ร่วมกับปูนอินทรี สร้างโครงการขึ้น ชื่อว่า Integrated Green School เพื่อเด็กๆที่อยู่ห่างไกลและกลุ่มชาวเขาชาวดอยตามตะเข็บชายแดน โดยโรงเรียนบ้านปาเกอะญอเป็นโรงเรียนล่าสุดลำดับที่ 29 ในโครงการ Green School ที่ทางอินทรีอาสาตระเวนชายแดนสร้างขึ้น

เพราะ เด็กๆไม่ได้โอกาสเรียนหนังสือง่ายๆ จะไปรร.ทีก็ต้องเดินทางไกลหลายสิบโล ถ้าไม่ไปก็อดเรียนหรือไม่ก็ต้องอยู่หอ เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับที่บ้านอีก จนบ้านปาเกอะญอมีอาคารเรียนชั่วคราวที่สร้างขึ้นจากซากไม้ไผ่ให้น้องๆได้ เรียน แต่อาคารเรียนมันก็เก่าก็รั่ว จะให้ไปกันฟ้ากันฝนมันก็เป็นไปไม่ได้ ก่อนทีมอาสาจะเข้าไปช่วยสร้างอาคารหลังใหม่ได้สำเร็จ ซึ่งตอนนี้มีอาคารผสมผสานมากถึง 9 หลังแล้ว ทั้งอาคารเรียน อาคารอเนกประสงค์ โรงอาหาร ห้องน้ำ ฯลฯ โดยฝีมือน้องๆสถาปัตย์ฯจุฬาที่ดีไซน์งานโรงเรียนทั้งระบบให้

 

“ทุกอย่างเริ่มจากพื้นดินโล่งๆแล้งๆแตกๆ  สู่ชีวิตที่ดีขึ้น”

 

ส่วน ใหญ่งานของค่ายบ้านปาเกอะญอจะเป็นงานเทคอนกรีตตอม่ออาคารเรียน ร้อนบ้างฝนตกบ้าง จนบางทีต้องเร่งสปีดงานตามเวลาที่กำหนด เช่น เทพื้นอาคาร 2 อาคารให้เสร็จก่อนฟ้ามืด ซึ่งทีมงานทั้งหมดจะต้องร่วมมือกัน แก้ปัญหาผลักดันให้งานเสร็จในที่สุด



“เพราะเราบอกไม่ได้หรอกว่า งานมันจะเสร็จกี่โมงกันแน่  ซึ่งแต่ละค่ายมันไม่เหมือนกัน
ขอแค่พวกเราช่วยกัน  ทำตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้ลุล่วงก็พอ”


จาก การออกค่ายอาสาบ่อยๆ ทำให้ผมเห็นว่า ค่ายอาสาไม่ใช่กิจกรรมของผู้ชายอย่างเดียว เดี๋ยวนี้ผู้หญิงไปออกค่ายอาสากันเยอะมาก ไม่มีใครเกี่ยงงานกัน ร่วมกันวางแผน แบ่งงานกันตามความเหมาะสม เพราะทุกคนมาด้วยจิตอาสากันจริงๆ ช่วยกันคนละไม้คนละมือจนประสบความสำเร็จ พอจบค่ายก็แยกย้ายจากกันด้วยรอยยิ้ม

และแล้วบ้านปาเกอะญอก็มีวันนี้ ผมดีใจที่ได้มีโอกาสแบ่งปันความสุข สร้างหัวใจสีเขียว ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของค่ายอาสาบ้านปาเกอะญอ เพราะไปแบบนี้เราใช้แรงสร้างความสะดวกสบายให้เด็กๆที่ขาดโอกาส ซึ่งเมื่อเทียบกับเด็กๆแถวบ้าน หรือกับลูกหลานของเราเอง มันทำให้รู้สึกว่าเราอยากทำอะไรให้กับพวกเขาอย่างเต็มที่ มันไม่เหมือนกับลูกเราที่ออกจากบ้านแล้วทุกอย่างพร้อมหมด แต่ของน้องๆคือต้องเดินเท้าเปล่าออกมาจากบ้านและข้ามห้วยเพื่อมาเรียน หนังสือ ซึ่งน้องๆไม่เคยได้โอกาส มันยากลำบากมากจริงๆ

 

“ตอนนี้เรามีแรง  มีกำลัง  ออกไปทำในสิ่งที่เราอยากทำ
ทำเพื่อสาธารณประโยชน์  เพราะเรายังทำได้
แต่ถ้าจะรอเอาเราพร้อม  รอให้ทุกอย่างพร้อมหมด  มันก็คงไม่มีประโยชน์
เพราะตอนนั้นเราอาจจะเตี้ยหลังค่อม  ไม่มีแรง  ไม่พร้อมที่จะทำอะไรแล้ว”

เหมือนกับที่เราขับรถไป เห็นคนจูงมอเตอร์ไซค์ยางรั่ว ข้างๆมีภรรยาอุ้มเด็ก และมีเด็กอีกคนเดินตามหลังคนนึง “ซึ่งถ้าถามว่าเราเห็นแล้วรู้สึกยังไง? เราเห็นแล้วทำอะไร?”

เราอาจจะแค่ขับรถผ่านไปเฉยๆ หรือแค่ขับผ่านไปแล้วมีข้อสงสัย แต่คนที่มีจิตอาสาเขาจะจอดแล้วเขาจะถามทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือไม่ก็ ตาม จะไปไหน? ให้ 3 ใน 4 ไปกับรถเราได้ไหม? ซึ่งคนจูงมันก็ต้องจูงแหละ แต่ที่เหลือเราสามารถแบ่งเบาภาระ ช่วยให้พวกเขาผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ แต่มันก็แล้วแต่มุมมองนะครับ ถ้าคนเราคิดจะช่วยคนอื่น ส่วนตัวผมมองว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องทำ 100% ช่วยเท่าที่เราทำได้แค่นี้ผมว่าจิตใจอาสามันมีแล้ว มันได้เริ่มแล้ว แต่หลายคนคิดว่าต้องทำตามที่คนอื่นคาดหวัง ซึ่งจริงๆแล้วมันอาจจะไม่ใช่อาจจะคิดผิดไป

ส่วนใครที่ยังไม่เคยช่วยอาสา อยากให้เข้าใจกันว่าเราไม่ใช่คนนอก เราเป็นอีกหนึ่งคนที่สามารถช่วยในสิ่งที่เราเองช่วยได้ แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับผมมันยิ่งใหญ่มากๆ เพราะสิ่งที่เราทำให้กับพวกเขา มันเป็นจุดเริ่มต้นของอนาคต เป็นพื้นฐานที่ดีของประเทศเราเอง ไม่ใช่แค่เพื่อพวกพ้องแต่มันเพื่อเราทุกคน เพื่อสังคมของเราครับ

ขอบคุณเนื้อหาจาก สมาชิกหมายเลข 2270783 | ที่มา http://pantip.com/topic/34894494