ปกติแล้วจะแบ่งเวลาว่างส่วนในชีวิตประจำวันให้กับงานอาสาสมัครมานับ 10 ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ได้ร่วมเป็นอาสาระยะยาวในโครงการไหนมาก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งที่ไดด้บังเอิญโทร.ไปที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแห่งหนึ่งใน กทม. ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ที่รับสายอยู่สักพักจนได้รู้ว่าวันรุ่งขึ้น ซึ่งตรงกับวันหยุดของเราที่มีเพียงวันเดียวประจำสัปดาห์พอดีนั้น ทางสถานสงเคราะห์ฯ จะจัดงานปฐมนิเทศน์ให้กับอาสาฯ ที่สนใจจะร่วมสอนการบ้านให้กับน้องๆ ที่นั่นเป็นระยะเวลาต่อเนื่องนาน 4 เดือน พร้อมกับอนุญาตให้เราเข้าร่วมฟังในงานที่จะจัดขึ้นอย่างปัจจจุบันทันด่วน แม้ว่าเราจะไม่ได้สมัครตามขั้นตอนแบบที่คนอื่นๆ เค้าสมัครกันมาก่อน

วันรุ่งขึ้นเราก็ได้ไปที่สถานสงเคราะห์แห่งนั้นตามคำเชิญกึ่งอนุญาตของเจ้าหน้าที่ชายที่รับโทรศัพท์ และได้พบกับครูผู้บริหารของที่นั่นที่เป็นผู้นำในการปฐมนิเทศน์เพื่อเตรียมความพร้อมและให้ความเข้าใจต่อกฏเกณฑ์สำคัญและสิทธิต่างๆ ของเด็กในสถานสงเคราะห์ที่สมควรจะได้รับการปกป้อง ซึ่งอาสาทุกคนจะต้องให้ความร่วมมืออย่างเคร่งครัดในการปฏิบัติตามเพื่อเป็นการเคารพสิทธิ์ของเด็กๆ อย่างเช่นกฏเกณฑ์สำคัญประการหนึ่งที่คนที่ไม่เคยเป็นอาสาอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ นั่นก็คือการที่เราจะต้องไม่ถ่ายภาพเด็กๆ ที่เห็นหน้าตาชัดเจนไปลงสื่อใดๆ ทั้งสิ้นแม้ว่าจะเป็นแค่การเซลฟี่กันง่ายๆ ไปลงโซเชี่ยล มีเดียของเราเอง เพราะนั่นก็ถือเป็นการนำไปเผยแพร่ทางสื่อสาธารณะแล้ว

จบการปฐมนิเทศน์เราได้มีโอกาสคุยกับครูผู้บริหารท่านนั้นส่วนตัว และจำประโยคสั้นๆ ที่ครูบอกไว้อย่างจริงจังได้แม่นว่า “อย่ามาสอนเต้นนะ” นั่นทำให้ฉันตระหนักถึงปัญหาของสังคมมากขึ้น และพาให้คิดไปว่าบางครั้งการที่เรานำพาเด็กๆ ไปสู่ความบันเทิง ด้วยคิดไปเองว่าจะเติมเต็มความต้องการให้เด็กๆ ได้ แต่ที่จริงกลับกลายเป็นการบ่มเพาะความบันเทิงอย่างฉาบฉวยให้กับเด็กเหล่านั้นในสังคมที่สื่อส่วนใหญ่ประโคมแข่งกันนำเสนอเรื่องบันเทิงเหล่านี้กันอยู่แล้วมากมาย จะว่าไปก็คงคล้ายกับการที่เรามักจะซื้อขนมหวานต่างๆ ไปให้กับเด็กในสถานสงเคราะห์ด้วยความคิดว่าเด็กต้องคู่กับขนม แต่เมื่อทุกคนต่างพากันคิดคล้ายๆ กันจนนำไปสู่การที่เด็กเหล่านั้นได้รับขนมหวานมากเกินไปจนเป็นบ่อเกิดของปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น โรคฟันผุ โรคอ้วน โรคเบาหวาน ฯลฯ

ประเด็นสำคัญที่ทำให้เราตัดสินใจให้เวลาวันหยุดวันเดียวที่มีในแต่ละสัปดาห์กับโครงการอาสาสอนการบ้านให้กับเด็กๆ เหล่านี้ก็เพราะแนวคิดหลักของโครงการที่ก่อตั้งขึ้นเพราะต้องการให้เด็กมีพัฒนาการทางการศึกษาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพื่อเป็นการปูพื้นฐานทางการศึกษาในอนาคตให้กับพวกเขา ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในวันที่พวกเขาต้องพ้นจากการใช้ชีวิตในสถานสงเคราะห์แล้วออกไปเผชิญโลกความจริงกับการทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ส่วนตัวเราเองนั้นก็ได้โอกาสในการปรับตัวเพื่อเรียนรู้ความต้องการของเด็กเล็กช่วงประถมวัย จากคนที่เป็นลูกคนเดียวของบ้าน ไม่มีน้องเล็ก ไม่มีหลานเล็กให้ได้ใกล้ชิดมาก่อน ได้เปลี่ยนเป็นคนที่ต้องคอยหาเทคนิควิธีการต่างๆ ในการนำพาเด็กๆ ไปสู่เป้าหมายเพื่อการพัฒนาความรู้ทางวิชาการได้อย่างจริงจัง