หน้าต่างแห่งพุทธะ การเดินทางของ Budpage

มี คำถามข้อหนึ่งเกิดขึ้นมาใจว่า การที่เราอยากจะให้ทุกคนมาช่วยกันรักษาศาสนานั้นนะ แล้วศาสนาเองได้ช่วยอะไรเขาได้บ้าง พี่อิศรา สุคงคารัตนกุล จาก budpage.com เว็บไซต์พุทธศาสนาสำหรับคนรุ่นใหม่ กล่าวว่านี่คือสิ่งหนึ่งที่คิดก่อนจะเริ่มทำเว็บไซต์นี้ อยากให้เขาได้รับประโยชน์จากที่นี่ จะเป็นธรรมประยุกต์ หรือ แนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดี ทำให้เกิดความสุข และแก้ไขความขัดแย้ง เลยเน้นเรื่องธรรมะง่ายๆ การใช้ธรรมะในชีวิตประจำวัน และเราก็มีกิจกรรมต่างๆให้คนไปทำดีกันและก็ได้ผลตอบรับที่ดีเลยทีเดียว

ย้อนไปเมื่อสมัยก่อนพี่เป็นนักแสวงหา คือ ศึกษาทุกอย่าง เลยทำให้มีโอกาสได้รู้จักกับพระอยู่หลายรูป และก็ได้เลือกไปปฎิบัติธรรมที่วัดป่าสุคะโตของหลวงพ่อคำเขียน เห็นว่าที่นั่นเงียบสงบดี ไปปฏิบัติธรรมอยู่ในรูปแบบที่อิสระฟังทุกฝ่ายและนำมากลั้นกรองเอง ฟังหลวงพ่อด้วย ฟังท่านพุทธทาสด้วย เซนก็ฟัง แล้วมากลั้นกรองเอาเอง ปฎิบัติอย่างนี้อยู่ปีนึง เนื่องจากเรามาใช้สถานที่ที่นี่ และได้ฟังคำสอนมา ในปีที่สองเราก็ขอตอบแทนด้วยการ อาสาทำครัว 1 ปี ช่วยวัด
แล้วก็พบความสุขตรงนี้แหละ เราทำครัวเพื่อคนอื่น ปกติทำครัวไม่เป็นนะทำได้แค่ทอดไข่ แต่พอไปเป็นอาสาทำครัว ในตอนนั้นทางวัดเจอปัญหาไม่มีใครอยากทำครัวมีแต่คนอยากปฏิบัติธรรม ก็มีการถกกันในที่ประชุมว่า คนนี้ทำสองวันได้ไหม คนนี้ทำสามวันได้ไหม เราก็อยู่ด้วย ก็เลยอาสาว่าจะทำให้ ปีนึง ตอนนั้นอาหารที่ทำ ก็จะเลือกมาจากของที่มีอยู่ในครัว พวกปลากระป๋องของแห้งต่างๆ จะคิดเมนูจากครัว และมันได้ความรู้สึกในการทำเพื่อผู้อื่น และมีความสุข ชีวิตที่ทำเพื่อผู้อื่นตลอด เราก็ไม่ได้คิดอะไรทำครัวนี่เหนื่อยมาก เลี้ยงคนวันละ 120 คน ทำอยู่คนเดียว แต่ก็มีความสุข และช่วงหลังก็มีอาสาสมัครมาช่วยทำ

หลังจากนั้นจะได้มาทำงานด้านอาสาสมัคร เริ่มทำที่ ม.พ.ด มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก ตอนนั้นก็ไปช่วยเด็กออกมาจากโรงงานนรก มันเป็นงานร้อนมาก ต้องเลี่ยงกับการโดนลูกปืน ไปช่วยเด็กที่ถูกขังออกมา ต้องไปสืบไปหาข้อมูล ค่อนข้างที่จะเป็นงานที่อันตราย ตอนนั้นทำไปนี่ยังไม่รักเด็กนะ ที่ทำไปเพราะเป็นงานอาสา ตอนหลังก็ไปช่วยงานวิจัย ของหลวงพี่ประชา ลงไปสามจังหวัดภาคใต้ ไปทำวิจัยเรื่องบทบาทพระในสังคมไทย นั้นก็เป็นที่มา ที่เข้ามาบวชในตอนหลัง พองานวิจัยจบมีการเก็บข้อมูลและได้มาทำงานบวชเพื่อสังคมเฟสที่ 2 เป็นโครงของศ.พ.พ. คณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา ก็เลยได้มาบวช และก็ต้องโทรไปขอให้ระงับโครงการไปก่อนเนื่องจากจะบวชต่อ และก็บวชต่อไปอีกแปดปี
ช่วงที่เป็นพระก็ทำงานเกี่ยวกับเด็กตลอด จะสึกก็เรื่องงานเหมือนกัน ช่วงนั้นทำโรงเรียนทางเลือก ในสมัยโรงเรียนทางเลือกไม่ค่อยมี เกิดขึ้นครั้งแรก คือ ทำบ้านสายรุ้ง เอาเด็กมาเรียน มาอยู่รวมเป็นชุมชน ทำได้ประมาณ 2-3 ปี มีครูอาสามาช่วย เด็กที่มาช่วยเดี๋ยวนี้ก็โตเป็นแกนนำนักพัฒนากัน ช่วงนั้นที่ต้องสึกเพราะเจ้าหน้าที่ลาออก ไม่มีทำช่วยดูแล และเราก็มีแนวคิดหลายอย่างที่ต้องการจะทำเช่นต้องการรณรงค์ให้คนนับถือศาสนา อย่างถูกต้อง ทำกิจกรรมอาสามาตลอด ทำโรงเรียนทางเลือก รับทุน undp ทำรณรงค์เรื่องลดโลกร้อน ทำมาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว สมัยนั้นคนยังไม่ตื่นตัวกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ทำกิจกรรม จัดค่ายอบรมเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด ช่วงหลังก็มาทำ เว็บไซต์ budpage นี่แหละ

เราก็พยายามจัดกิจกรรมให้คนในเว็บไซต์ทำกันบ่อยๆ การมาทำงานอาสามันช่วยลดความเห็นแก่ตัว ในเวลาที่เราคิดถึงคนอื่นมากกว่าตนเอง และคนจะทุกข์มากทุกข์น้อยมันอยู่ที่วิธีคิด และความเข้าใจเช่นเราคิดถึงความทุกข์ของคนอื่นและเข้าไปช่วยเหลือ เราก็จะลืมความทุกข์ของตนเอง คราวนี้สภาพจิตที่ไปช่วยเหลือคนอื่นมันก็ดี โปร่งใส ทำให้เข้าใจชีวิตง่ายขึ้น มันก็มีผลกับการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรม คนไม่ควรทิ้งเรื่องการทำงานอาสา มันเป็นส่วนหนึ่งของทาน มันเป็นการให้ทานทางนึง การกระทำอย่างนี้ มันทำให้จิตพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องที่ลึกซึ้ง มันก็จะไปเสริมกัน เพราะฉะนั้นคนที่ทำงานเพื่อสังคมถ้าศึกษาธรรมะก็จะทำให้เข้าใจอะไรได้ง่าย แต่ถ้าไม่ศึกษาก็จะทุกข์นะ จะเครียด แต่ถ้าคนที่สนใจธรรมะแต่ไม่สนใจสังคม ก็จะมีทุกข์มีปัญหาอีกแบบ ทำให้จิตใจไม่เบิกบาน พี่คิดว่าเวลาคนมาทำความดีร่วมกันมันมีพลังนะ
อย่างตอนที่พี่หยุดงานไป 2 ปี เนื่องจากปัญหาสุขภาพนะ มันทำให้พี่คิดอะไรได้หลายอย่าง เราได้ข้อคิดว่างานที่ทำมันต้องปรังปรุงอยู่เสมอ ต้องมีสิ่งใหม่ๆ เราหยุดอยู่กับที่ไม่ได้โลกมันเปลี่ยนอยู่ตลอดสถานการณ์ก็เปลี่ยน อย่างช่วงนี้มีแต่ความรุนแรง เวลาที่เราสร้าสรรค์สิ่งใหม่ๆ และคิดด้านบวก มันเหมือนกับมีพลังชีวิตขึ้นมา พอหยุดแล้วพลังชีวิตหาย ช่วงป่วยนี่จะเห็นเลยเวลาเราคิดอะไรดีๆ ร่างกายก็ดีขึ้นจะทำให้เราแข็งแรง ความทุกข์มันเกิดมาจากการไม่ยอมรับ เราก็แค่ยอมรับมันเท่านั้นเอง การยอมรับความจริง การเข้าใจ ถ้าทุกขณะจิต เรามีความคิดอย่างนี้อยู่ใจก็จะไม่ทุกข์ คือขณะไหนถ้าเราไม่ยอมรับเราก็จะทุกข์

สิ่งที่อยากทำต่อไปจากนี้ แต่ตอนนี้มันเป็นความฝันอยู่ คือเรื่อง volunteer town เป็นชุมชนเฉพาะ คนที่เข้าไปคุยภาษาเดียวกันหมด คนที่คุยคนละภาษามีสิทธิได้แค่อ่าน แต่คนที่พูดภาษาเดียวกันคือคนที่มีสิทธิสื่อสาร คือคนที่ยังไม่เห็นคุณค่าในการช่วยเหลือ เข้าไปดูได้ แต่ไปแสดงความคิดเห็นอะไรยังไม่ได้ เราจะรวมข้อมูลคนที่เคยทำงานเพื่อสังคมจากองค์กรต่างๆ แล้วก็ส่งเทียบเชิญให้เค้ามารู้จักชุมชนที่นี่ เข้ามามันก็จะมีกิจกรรมที่คนสร้างสรรค์กันขึ้นมาเอง หรือเป็นศูนย์รวมของข่าวที่เราไปเลือกกันมาลง และเป็นที่ที่ทำให้พบปะรู้จักกัน อยากให้มีกลไกบางอย่างที่ทำให้คนจัดการกันเองได้
มาพูดถึงบ้านเมืองเราในปัจจุบันนี้ มีแต่เรื่องราวร้อนๆ เราควรจะเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติ คือเราต้องไม่โกรธ ความไม่โกรธนั้นแก้ปัญหาได้ การเห็นคุณค่าของทุกอย่าง มองให้รอบด้านแล้วมันจะไม่มีฝ่าย คือมองให้เห็นปัญหาและใช้ปัญญาเป็นตัวแก้ปัญหา เราก็จะสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ

www.budpage.com

สัมภาษณ์โดย วินย์ เมฆไตรภพ
เรียบเรียงโดย ศิริวิภา ศโรภาส