โดย : บัณฑิต ปิยะศิลป์ เมื่อ : 12/01/2009 12:34 PM
เหนื่อยๆ เพลียๆ กับวิถีแห่งเมืองใหม่ แต่ความฝันของคนมันก็จำต้องอดทนกับความจำเจมิใช่หรือ ก็มานั่งจิบกาแฟที่หลังบ้านเพราะโดยปกติแล้วนานๆ ทีที่จิบกาแฟยามบ่ายๆ ออกมานั่งรับลมที่พัดเย็นๆ ยามฤดูหนาวของสายๆ นั่งรับลมที่พัดมาจากทุ่งนาหลังบ้านที่เกษตรกรก็ยังทำนาถึงแม้จะเป็นหนี้ เป็นสิน เกษตรกรที่หลังบ้านผมน่าจะเป็นเกษตรไม่กี่รายในเมืองใหญ่ที่พวกเขายังทำนา ไม่ขายที่ให้นายทุนสร้างบ้านจัดสรรที่ผมอยู่ ผมเห็นเขาทำนาตลอดปี อย่างน้อยก็แอบดีใจที่มีคนแบบเขาอยู่ที่ไม่เห็นแก่เงินยังเก็บที่นาไว้ให้คน รุ่นลูกสืบสานต่อไปถึงแม้มันอาจไม่ใช่หลักประกันว่าที่นาจะเหลือแต่สำหรับ รุ่นเขามันยังอยู่กับครอบครัว และยังคงสืบทอดเจตจำนงของบรรพบุรุษทำนาตามวิถีทางแห่งคำว่าเกษตรกร

ถึงแม้จะขายข้าวได้ราคาไม่ดีเท่ากับขายที่แต่ชีวิตและจิตวิญญาณของเขาก็ ยัง คงอยู่กับการทำนา ปลูกข้าว เลี้ยงปลา ปลูกผัก อาจมีระบบทุนเข้ามาเกี่ยวโยงให้เป็นหนี้เป็นสินแต่ก็ก้มหน้าทำงาน ทำหน้าที่ตามอาชีพของตนเองที่ถือว่าได้เลือกแล้วว่าน่าจะเหมาะกับเขาเองมาก ที่สุด ลมก็ยังพัดยามสายๆ จิบกาแฟคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ส่วนใหญ่ของมนุษย์น่าจะดิดเรื่องของตนเองเป็นหลักของกระบวนการคิด โดยเฉพาะนักการเมือง(แม่ง)อ้างประชาชนทุกทีแต่มันก็คิดเรืองของกลุ่ม ของมึง ทุกทีนั้นละ ประเทศไทยคงดีกว่านี้ถ้าไร้นักการเมืองที่ทำแต่ประโยชน์ตนเอง ผมก็นั่งคิดเรื่องของตนเองวุ่นวายใจเหมือนไอ้พวกนักการเมืองส้นทีนนั้นละวก ไปเวียนมาอยู่กับเรื่องตนเอง นั่งมองกะละมังที่ตั้งอยู่หลังบ้านที่ใส่น้ำเกือบเต็มเพื่อรอการแช่ถ้วยชาม เพื่อรอการล้างต่อไปทีเดียวจะได้ประหยัดแรงแต่เรียกอีกอย่างคือขี้เกียจนั้น ละ ก็ทำงานอ่อนเพลียมาทั้งวันจะให้มานั่งล้างจานอีกคงต้องรอให้แช่เต็มกะละมัง ก่อนค่อยล้างทีเดียวจะได้ประหยัดแรงงาน เป็นเหตุผลของใครหลายคนรวมทั้งผมที่ขี้เกียจ แต่คิดเข้าข้างตัวเอง สายลมยามสายๆ ก็ยังพัด ทำให้ห้วยที่ไม่ได้จมใต้กะละมังลอยวนซ้ายทีลอยวนขวาทีในกะละมังลอยเร็วบ้าง ลอยเอื้อยๆ ช้าๆ บ้างตามหวังวะของลมที่พัดผ่านต้นมะพร้าวทุ่งนาผ่านเข้ามาทางหลังบ้าน บางทีเกิดสีเสียงบ้างตอนไอ้เจ้าห้วยน้อยลอยกระทบขอบกะละมัง วนกลับมาที่เดิมรอแรงลมมาเพื่อจะได้พัดไปต่อ ผม ก็แอบนั่งมองไม่ไม่ได้ตั้งใจเพราะมัวคิดเรื่องของตัวเอง เรื่องนั้นทีโน้นทีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง จมปรักอยู่กับความคิดอันซ้ำๆ ซากอยู่เรื่องเดิมก็ไอ้เรื่องวิทยานิพนธ์ที่คิดแทบหัดแยก พอได้นั่งมองไอ้เจ้าถ้วยน้อยๆ ที่ลอยอยู่ในกะละมังที่ลอยวกวนไปวนมาอยู่ที่เดิม ซ้ำซากอยู่กับระบบความคิดของตัวเองเราก็ยังไม่ต่างไปจากเจ้าห้วยในกะละมัง มากนัก

บางทีคงต่างที่เราเป็นคนแต่การมีชีวิตที่วกไปเวียนมาซ้ำเรื่องเดิม วนกับความคิดที่จำเจ ไม่ออกไปจากเจ้ากะละมังมันอาจทำให้เราคิดได้แคบเท่าเจ้ากะละมังก็อาจเป็นได้ พอลมพัดมาเพื่อลอยไปตามแรงลม การหยุดนิ่งๆ ไม่คิด ไปเดินทางบางทีการที่เราหยุดมันอาจเป็นการบอกเล่าให้คนอื่นรู้ว่าเราคิดก็ ได้หรือการที่เราพูดมันอาจเป็นการหยุดเพื่อให้ตัวเรารับรู้ระบบนึกคิดของตัว เราก็อาจเป็นได้ นิ่งเพื่อสยบความเคลื่อนไหวบางทีการไม่เคลื่อนไหวอาจทำให้เรามีชีวิตที่ไร้ ชีวาก็ได้ บางทีออกจากรอบคิดเดิมๆ ไม่ใช่ว่าเราจะละทิ้งเรื่องเดิมๆ มันอาจเป็นการเกิดหรือเริ่มต้นที่จะคิดหรืออาจกลับมาคิดเรื่องเดิมๆที่มัน แหลมคมกว่าเดิมก็อาจเป็นได้ เรื่องเล่าของชีวิตเรื่องเล่าของการทางของตนมันอาจไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าเรา จะหมดลมหายใจลง

ที่มา http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=1055