เขียน: เกศินี จิรวณิชชากร

บ้านน้ำเค็ม
บ้านน้ำใจ

ยามสายของวันหนึ่งกลางสัปดาห์ หลังจากออกแรงทำงานกลางแดดจ้ามาตั้งแต่เช้า ฉันนั่งพักลงชั่วครู่ในร่มเงา พิงหลังอยู่กับกำแพงของบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ เบื้องหน้าที่มองเห็นคือเพื่อนๆที่กำลังขุดดินกันอย่างขะมักเขม้นโดยไม่ หวั่นไอแดดร้อนแรง ไกลออกไปเล็กน้อยเป็นบึงน้ำดูน่าเย็นสดชื่นถูกโอบล้อมไปด้วยสีเขียวของ ต้นไม้ใบหญ้าที่ยังถูกปล่อยตามธรรมชาติ

ณ วินาทีนั้นฉันเปิดประสาทสัมผัสออกกว้างเต็มที่เพื่อจดจำทุกสิ่งรอบๆตัว …
ฉันมองเห็นสีฟ้าใสๆของท้องฟ้าที่หาไม่ได้ที่กรุงเทพ
ฉันได้กลิ่นของความสดชื่นในอากาศอันบริสุทธิ์
ได้ยินเสียงของแมลงตัวจิ๋วในพุ่มไม้ ส่งเสียงร้องคลอไปกับเสียงจากการก่อสร้างและเสียงหัวเราะพูดคุยของทุกคนที่ นี่ ทั้งชาวบ้านน้ำเค็มผู้มีที่มาจากทั่วทุกภาคของประเทศไทย และเหล่าอาสาสมัครทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
ส่วนข้างในหัวใจฉัน ได้สัมผัสถึงพลังความปรารถนาดีของทุกคนที่มีต่อกัน และความร่วมแรงลงใจของผู้คนในการทำสิ่งหนึ่งร่วมกันโดยปราศจากพรมแดนของภาษา หรือเชื้อชาติ สิ่งนี้อาจเรียกว่า “น้ำใจ” “ความรัก” “ความหวังดีต่อกันของเพื่อนมนุษย์” หรืออะไรก็ตามแต่ ..ฉันรู้เพียงแค่ว่ามันเกิดขึ้นจริง ณ ที่ตรงนี้

ท่ามกลางแดดจ้าอากาศร้อน ฉันรู้ว่าความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าที่เกิดจากงานหนักและคลื่นความร้อนไม่ได้ ทำให้ใจเราอ่อนล้าตามไปด้วยเลย มันกลับกลายเป็นความชื่นใจเมื่อได้มองเห็นผลจากการลงแรงของพวกเราเกิดเป็น รูปธรรม เกิดเป็นบ้าน อันเป็นสิ่งปลูกสร้างมั่นคงสำหรับทุกชีวิตในชุมชนนี้นานต่อไปชั่วลูกหลาน เช่นเดียวกับน้ำเย็นๆ (ที่อร่อยที่สุดในโลก!) ที่ได้รับจากชาวบ้าน และรอยยิ้มเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็ก มันไม่ได้เย็นแค่ที่ลิ้นหรือดวงตา แต่มันเย็นสดชื่นไปถึงหัวใจพวกเรา

บรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นหลังจากคลื่นยักษ์ที่เรียกว่า “สึนามิ” ถล่มพื้นที่บนเกาะสุมาตรา บางส่วนของอินเดีย ศรีลังกา หมู่เกาะต่างๆ และภาคใต้ของประเทศไทย พัดพาเอาทั้งชีวิต ทรัพย์สิน วิถีชีวิต และทุกสิ่งทุกอย่างไปในชั่วพริบตา สิ่งที่เหลืออยู่คือร่องรอยของสิ่งที่เคยมี ซึ่งรอคอยการเก็บกวาดและฟื้นฟู นับจากวันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยพลังกายพลังใจของทุกฝ่ายที่ เกี่ยวข้อง และความช่วยเหลือของผู้ร่วมรับรู้เหตุการณ์จากทุกสารทิศ

จวบจนถึงวันนี้ เวลาผ่านไป 1 ปีกว่าแล้ว
ขณะที่ร่องรอยของความเศร้าค่อยๆจางหายไป แต่ความทรงจำของวันนั้นยังคงอยู่
ขณะที่บางส่วนได้บ้านใหม่ วิถีชีวิตใหม่ แต่บางส่วนก็ยังคงขาดแคลน
…และนี่คือที่มาที่เรามารวมตัวกัน ความช่วยเหลือยังต้องได้รับการสานต่อ

น่าเสียดายที่พวกเรามีเวลาอยู่ที่นี่แค่ 5 วัน แรงงานของพวกเราในช่วง 5 วันนี้อาจจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มวางรากฐานบ้าน วางรากฐานชุมชนขึ้นมาใหม่หลังภัยพิบัติ แต่ฉันก็รู้ว่าพวกเราทุกคนได้ทำเต็มที่เท่าที่ความสามารถและเวลาของเราเอื้อ อำนวย

ที่มา : มูลนิธิกระจกเงา
http://www.siamvolunteer.com/autopage/show_page.php?h=5&s_id=4&d_id=4