แบพอ

 

“ถ้าหนูดื้อ หนูจะกลายเป็นนกกระปูดที่ร้อง โมเฮอ โมเฮอ… นะ รู้ไหม” หญิงผู้เป็นแม่ปรามลูกสาวตัวน้อยที่กำลังเล่นซนลากเก้าอี้ไปมา ผมหันมองแม่ลูกคู่หนึ่งที่เดินทางมาร่วมงานนมัสการพระเจ้า ณ บ้านไม้เก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำสาละวินหลังนี้เช่นเดียวกับผม ผมและแม่ลูกคู่นี้มีสีผิวสีผมเหมือนกัน พูดภาษาเดียวกัน เป็นคนปกาเกอะญอเหมือนกัน ต่างกันที่ว่าเรามีบ้านอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำเท่านั้น

สิ้นเสียงปรามของแม่ ลูกสาวตัวน้อยละเก้าอี้ไว้กลางโถง เธอวิ่งไปหาแม่ซึ่งนั่งอยู่ในมุมสลัวที่แสงจากหลอดไฟส่งความสว่างไปไม่ถึง เด็กหญิงทิ้งตัวลงบนตักแล้วซุกใบ หน้าเข้ากับอกแม่ อ้อนเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ “ไม่ดื้อ ไม่ดื้อแล้ว แม่เล่านิทานนะ เล่านิทานให้หนูฟัง” ผมเห็นหญิงผู้เป็นแม่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ใช้วงแขนกระชับลูกน้อยเข้าแนบอก ตบก้นเบา ๆ  แล้วกระแอมไอก่อนเริ่มเล่าเรื่อง

“นานมาแล้ว… ยังมีหมู่บ้านในป่าลึกที่ผู้รักษากฎหมายเข้าไปดูแลไม่ถึง ชาวบ้านที่นั่นถูกโจรปล้นอยู่บ่อย ๆ ทุกครอบครัวจึงต้องใช้ไม่ไผ่ลำยาวมาทำเป็นหมอนให้คนในบ้านนอนหนุนเรียงกัน เผื่อว่าถ้าโจรเข้ามาปล้นบ้าน คนที่รู้ตัวก่อนจะได้ผลักหมอนลำไผ่ให้หัวทุกคนตกจากหมอน แล้วจะวิ่งหนีทัน “

“ที่หมู่บ้านแห่งนี้มีเด็กหญิงขี้เซาอยู่คนหนึ่ง เมื่อเธอหลับแล้วต่อให้มีเสียงดังอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น วันหนึ่ง เธอขอพ่อแม่ไปนอนบ้านเพื่อนในหมู่บ้านเดียวกัน แต่พ่อแม่ของเด็กหญิงคนนี้ไม่อนุญาต เพราะกลัวว่าถ้าโจรเข้ามาปล้นตอนกลางคืนเด็กหญิงจะมัวแต่หลับจนหนีไม่ทัน  แต่ไม่ว่าพ่อแม่จะห้ามยังไง เด็กหญิงก็ไม่ฟัง ยืนยันจะไปนอนบ้านเพื่อนให้ได้ท่าเดียว ในที่สุดพ่อแม่ก็หมดแรงจะห้ามปราม เลยต้องปล่อยเด็กหญิงไป” 

“ในคืนนั้นเอง พวกโจรลอบเข้ามาในหมู่บ้าน  ย่องเข้าไปในบ้านเพื่อนของเด็กหญิงขี้เซา เมื่อเพื่อนของเด็กหญิงขี้เซายินเสียงกุกกัก เธอก็รีบผลักหมอนลำไผ่ให้ทุกตื่นแล้วรีบวิ่งหนีออกจากบ้าน มีแต่เด็กหญิงขี้เซาคนเดียวที่ไม่ยอมตื่น พวกโจรจึงใช้ผ้ามัดมือปิดตาเธอ แล้วอุ้มเธอเข้าไปในป่า”  

“นับจากวันนั้นมา ไม่มีใครเห็นเด็กหญิงขี้เซาอีกเลย แต่ทุกคืนชาวบ้านจะได้ยินเสียงนกกระปูดส่งเสียงร้อง …โมเฮอ โมเฮอ…  และทุกคนเชื่อว่านกกระปูดตัวนี้คือเด็กหญิงขี้เซาคนนั้นนั่นเอง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เป็นเด็กต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นนกกระปูด”

นิทานจบลง เด็กน้อยนอนตาปรือบนตักหญิงผู้เป็นแม่ เธอค่อย ๆ ประคองหัวลูกสาวยกขึ้นจากตักขยับไปวางลงบนหมอน แล้วจึงเอนกายนอนลงข้าง ๆ นิทานของหญิงแม่ลูกคู่นี้ทำให้ผมคิดถึงเรื่องของเด็กหญิงขี้เซาที่เคยฟังเมื่อครั้งยังเด็ก คราวนั้นศาสนาจารย์จากรัฐกะเหรี่ยงนำเรื่องเด็กหญิงขี้เซามาใช้ประกอบการเทศนา เรื่องของเขาไม่ต่างกับนิทานของแม่คนนี้มากนัก ต่างกันที่ว่าตัวร้ายในเรื่องเป็นทหารรัฐบาลพม่า และในตอนจบของเรื่อง เด็กหญิงก็ไม่ได้หายไปอย่างลึกลับหรือกลายเป็นนกกระปูด แต่กลับถูกกระทำย่ำยีต่าง ๆ นานา แล้วถูกทิ้งให้รอความตายอยู่ในกระท่อมหลังนั้น ผมจำได้ว่าก่อนจบการเทศนา ศาสนาจารย์ผู้นั้นย้ำว่านี่ไม่ใช่นิทาน แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นอีกฝั่งของแม่น้ำสาละวิน 

ผ่านไปเกือบยี่สิบปี ผมแปลกใจที่มาได้ยินเรื่องของเด็กหญิงขี้เซาอีกครั้ง แม่ของเด็กน้อยไม่รู้จัก “แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์” นิทานฝรั่งยอดฮิตที่ครูอนุบาลเคยเล่าให้ผมฟังหรอกหรือ  สำหรับผมแล้ว แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์คงทำให้หลับฝันดีกว่าเรื่องของเด็กหญิงขี้เซาแน่ ๆ แต่คิดดูอีกที เรื่องของเด็กหญิงขี้เซาอาจจะตรงใจแม่คนนี้มากกว่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ 

บางทีที่อีกฝั่งของแม่น้ำสาละวิน การเชื่อฟังคำผู้ใหญ่อาจจำเป็นต่อการอยู่รอดปลอดพ้นจากอันตรายมากกว่าการนอนหลับฝันดีเสียละกระมัง 




ศูนย์ข้อมูลริมขอบแดน มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน
ตู้ปณ.180 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ.เมือง
จ.เชียงใหม่ 50202
โทรศัพท์ 053-805-298
โทรสาร 053-805-298
E-mail borders@chmai2.loxinfo.co.th