เส้นทางหลวงที่มุ่งหน้าสู่ Yingxiu เมืองเล็กๆ ใกล้กับจุดศูนย์กลางของเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่จีน ในวันที่ 12 พ.ค. 51 ที่ผ่านมา ต่างก็เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวที่ใหญ่พอๆ จะกลืนกินเด็ก ซึ่งหลุมใหญ่นั้นก็มีเศษซากของรถบรรทุกคันใหญ่ตกลงไปติดอยู่พร้อมๆ กับหินก้อนยักษ์ที่กระจุกอยู่ด้วย ใกล้ๆ กันกับพื้นที่ชานเมืองรถนั่งส่วนบุคคลนั้นก็ถูกอัดก๊อปปี้ไปด้วยหินก้อนใหญ่ การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกในครั้งนี้นั้นตัดขาดเส้นทางคมนาคมเกือบแทบจะ ทุกสาย

แม่ของเด็กชายวัย 12 ขวบคนหนึ่งที่อุ้มลูกขึ้นไปยังบนภูเขาเพื่อหนีตายเล่าให้ฟังว่าเธอฝังใจกับ สิ่งที่เธอประสบมา แผ่นดินที่เธอเดินจากมานั้นมันช่างร้ายกาจ บ้านหลายหลังพังทลายลงมาทั้งแถบ โรงเรียนถล่ม และซากศพเน่าเปื่อยที่เกลื่อนอยู่ตามท้องถนน มันทำร้ายเธอเป็นที่สุด

แต่ถึงกระนั้นข่าวที่เลวร้ายต่างๆ ก็ไม่ได้บั่นทอนหรือเป็นอุปสรรค์ต่อความตั้งใจของผู้ชายสองคนที่เดินทางมา ด้วยทางรถไฟ ต่อด้วยรถยนต์ และตบท้ายด้วยการเดินเท้าเพื่อเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อของเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่  Wenchuan ซึ่งทั้งคู่ต่างมุ่งมั่นพร้อมสวมเสื้อยืดสีขาวที่มีข้อความว่า “I (heart) China” บุกไปยังศูนย์กลางของการเกิดภัยพิบัติในครั้งนี้ “ภายหลังจากที่พวกเราได้ดูข่าวภัยพิบัติในครั้งนี้ พวกเราตัดสินใจว่าพวกเราจะต้องเข้าไปช่วยอย่างเร่งด่วน”

Wu Guanglei ชายกลางคนวัย 36 ปี คุณครูสอนวิชาฟิสิกส์ในระดับมัธยมของเมือง Zigong ที่อยู่ห่างออกไปราว 190 ไมล์ (300 กม.) ทางตอนใต้กล่าว “พวกเราชนชาวจีนนั้นต่างเติบโตมาร่วมกันอย่างใกล้ชิดและพึ่งพาช่วยเหลือกัน เสมอ”

Wu Xiangping วัย 28 ปี ผู้ที่ละทิ้งงานประจำในบริษัทโฆษณาในกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมในการบรรเทา ภัยพิบัติครั้งนี้ กล่าวเสริม “และคงเป็นเพราะว่า ณ ช่วงเวลานี้จริยธรรมของคนในชาตินั้นก็กำลังพุ่งสูงขึ้นไปพร้อมๆ กันด้วย”

นี่เป็นเพียงสิ่งที่สังเกตเห็นเบื้องต้น ท่ามกลางความหวังและความภาคภูมิใจที่กำลังริบหรี่ลง ซึ่งสถานการณ์นี้ทำให้เกิดการตกผลึกในการเรียนรู้ของชาวจีนในหลายๆ ด้านด้วยตนเองในหลายๆ อาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงขนาด 8.0 ริกเตอร์นั้น มันเป็นภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 30 ปี ที่ผ่านมาของจีนอีกด้วย มันคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 50,000 ชีวิต ทำให้ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัยกว่า 5 ล้านคน ซึ่งนี่เป็นเพียงหนึ่งในข้อมูลที่ทางรัฐบาลรายงานมาเท่านั้น ภาพวิดีโอที่สะเทือนขวัญจากบริเวณที่เกิดภัยพิบัติ ถ่ายให้เห็นร่างฉีกขาดของเด็ดกระจัดกระจายทับทมกับซากปรักหักพังของตึกคล้าย กับฟอซซิลที่ทับถมกันจนเป็นตะกอนในซากคอนกรีตของอาคารเรียน ภาพความสิ้นหวังของผู้ช่วยเหลือที่กำลังจะตัดสินใจตัดขาหญิงสาวที่สิ้นลม อยู่ในซากปรักหักพังเพื่อนำร่างเธอออกมา สิ่งเหล่านี้ต่างบีบบังคับให้ชาวจีนต้องจ้องมองขุมนรกอันหดหู่อย่างหลีก เลี่ยงมิได้ และสะท้อนกลับออกมาด้วยความรู้สึกสลดพร้อมความเห็นอกเห็นใจ ไปพร้อมๆ กันกับความแข็งแกร่งของชนในชาติที่เพิ่มขึ้นมากกว่าครั้งใดๆ ในอดีต แผ่นดินที่มีชาวจีนอาศัยอยู่กว่าพันล้านคนนี้ทุกคนต่างยื่นมือช่วยเหลือและ ติดตามว่าความช่วยเหลือของพวกเขานั้นไม่ว่าจะเป็นเงิน,อาหาร หรือ เครื่องนุ่งห่มนั้น ถึงมือผู้ประสบภัยหรือไม่ แล้วก็มีผู้คนอีกจำนวนเรือนหมื่นที่คล้ายๆ กับกลุ่มของตระกูล Wu ที่ละทิ้งงานและครอบครัวแล้วรีบตรงดิ่งมาช่วยเหลือพี่น้องชาวจีนด้วยกัน เครื่องนุ่งห่มต่างๆ ถูกบริจาคเข้ามากองใหญ่สูงกว่า 6 ฟุต การช่วยเหลือด้วยน้ำใจจากประเทศเล็กๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรที่รวบรวมเงินกันมาช่วยเหลือจีนนั้นได้ถึง 1 พันล้านบาทภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

การแสดงปฎิกิริยาอันเป็นมิตรในทันทีเช่นนี้ ชี้ให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจต่อความสัมพันธ์อันไม่มีสิ่งแอบแฝงอื่นใดของ นานาประเทศ ซึ่งหลายปีมานี้ประชาชนชาวจีนไม่สามารถที่จะทนดูข่าวภาคค่ำที่ยังคงนำเสนอ ภาพด้านมืดของจีนที่ยังคงมีอยู่ หรอืนำเสนอความโลภ ความสะเพร่า การสนใจแต่ตัวเองโดยไม่แยแสคนอื่นๆ รอบโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้คนจีนเป็นคนที่ทำอะไรอย่างผลีผลาม พยามที่จะร่ำรวย มั่งคง ให้เร็วที่สุด และมีอำนาจในที่สุด ซึ่งสิ่งร้ายที่ซ่อนเร้นนั้นก็ยังมีเรื่องราวของการจ้างแรงงานทาสมหาโหด วงจรอุบาทว์ลักพาตัวเด็ก ความรุนแรงและหนักข้อขึ้นของการคอรัปชั่นของรัฐ สินค้าปลอม อาหารปนเปื้อน ของเล่นที่อันตราย และเมื่อไม่นานมานี้กับเหตุการณ์การแสดงท่าทีอย่างรุนแรงต่อกรณีความขัดแย้ง ในธิเบต

แต่จากวิกฤตการณ์อันเลวร้ายต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นนั้นได้ทำให้จีนเกิด ความตระหนักใหม่ในตนเองมากยิ่งขึ้น สร้างความจดจำให้ประชาชนจีนมีจิตใจที่มีความเห็นอกเห็นใจและเมตตากรุณาต่อ ผู้อื่นมากขึ้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ได้สร้างให้จีน “ปลุกเร้าจิตสำนึกให้ตื่นอย่างฉับพลัน”

เมื่อความฉุกเฉินระดับชาติบรรเทาลง ชาวจีนก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติในวิถีที่คุ้นเคยอย่างแน่นอน ทว่าบางสิ่งนั้นจะปลูกรากฐานที่แตกต่าง ชาวจีนจะรู้สึกมั่นใจในความสามารถของตนขึ้น แม้กระทั่งในการทำงานในหน้าที่ต่างๆ ก็ตาม อย่างน้อยๆ ชาวจีนก็จะสร้างความมีศิลธรรมในสังคมมากขึ้น มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะผลักดันให้รัฐบาลเดินในทางที่ถูกต้องต่อไป

อาสาสมัครส่วนใหญ่นั้นทำงานนี้เป็นงานแรก แล้วพวกเขาก็รู้สึกดีและพูดว่าเขามีความกระตือรือร้นอย่างมากที่จะทำงานช่วย เหลือสังคมอื่นๆ ในอนาคตด้วย ซึ่ง Jiang พูดไว้ว่า “นี่มันเป็นจุดก้าวกระโดดที่สำคัญอันจะเป็นข้อมูลที่ดีที่จะปลูกฝังในสังคม ชาวจีน มันมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการการพัฒนาตนให้ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยใน อนาคต”

สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวใน Wenchuan ครั้งนี้จะนำไปสู่การจัดเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้แต่อย่างใด แต่หากความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับประชาชนชาวจีนที่ออก มาเรียกร้องที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น จะยกระดับสู่ความรอมชอมกันมากขึ้น ซึ่งก็น่าจะเกิดความประณีประณอมกันระหว่างขั้วเผด็จการอยางสุดโต่ง กับขั้วประชาธิปไตยหัวตะวันตกได้อย่างลงตัวมากขึ้น มันไม่เพียงแต่ทำให้การรับรู้ถึงภาพลักษณ์ในตนเองของจีนเปลี่ยนไปเท่านั้น แต่แผ่นดินไหวคราวนี้ก็ได้ปรับเปลี่ยนการรับรู้ของคนทั่วโลกต่อจีนในแบบ เดิมๆ ไปบ้างถึงแม้ว่ามันจะเป็นการชั่วคราวก็ตาม

การเติบโตของเศรษฐกิจและการทหารนั้นชี้ให้เห็นถึงความหวาดระแวงและหวาดกลัว ในหลายพื้นที่ที่มีความเกี่ยวกับกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับชาติตะวันตก ทั้งคู่ซึ่งมันจะยิ่งทำให้เหตุการณ์ตึงเครียดมากขึ้นภายหลังจากเกิด เหตุการณ์นองเลือดในธิเบตรวมไปถึงการต่อต้านต่างๆ ระหว่างการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิก แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มาหลังจากภัยพิบัติไซโคลนนากิสถล่มพม่านั้นได้ ปรับเปลี่ยนทีท่าของรัฐบาลจีนไปในทางที่แตกต่างจากเดิม อย่างการกีดกันการช่วยเหลือจากนานาชาติในกรณีของรัฐบาลพม่าที่หวาดระแวงการ แทรกแทรงนั้นชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอที่ไร้อำนาจโดยสิ้น ซ้ำยังเมินเฉยและไม่ใยดีต่อประชาชนผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากซึ้งต้องกล้ำ กลืนทนอยู่กับระบบอัตตาธิปไตยอีกด้วย หากแต่รัฐบาลจีนนั้นกลับแสดงทีท่าของความรับผิดชอบอย่างว่องไวเพื่อตอบรับ กับเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทันท่วงที ทหารกว่า 120,000 คน และ กองกำลังเสริมที่เตรียมพร้อมสมทบอยู่ตลอดเวลา พร้อมด้วยยานพาหนะทั้งทางบกและทางอากาศอีกนับพันที่คอยรองรับสถานการณ์การ ช่วยเหลือนี้ อีกทั้งจีนนั้นก็ยังรับการช่วยเหลือจากนานาชาติด้วยความซึ้งใจเป็นอย่างดี รวมไปถึงทีมช่วยชีวิตจากไต้หวัน สิงคโปร์ หรือแม้แต่ศัตรูฝ่ายตรงข้ามในอดีตอย่างญี่ปุ่นก็ตาม

ส่วนหนึ่งของบล๊อกเกอร์ชาวจีนที่มีความหวาดระแวงชาวต่างชาตินั้น ได้แสดงความอัศจรรย์ใจ ที่ความเห็นอกเห็นใจนั้นได้แสดงให้เห็นว่าจีนนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบ นี้ที่ทุกคนพร้อมที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงิน สิ่งของ หรือข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆ การแสดงความรู้สึกอย่างทันท่วงทีต่อความหวังดีจากนานาชาตินี้ “จะเป็นจุดเปลี่ยนของทุกสิ่งทุกอย่าง” นักการฑูตชาวตำวันตกที่พำนักอยู่ในปักกิ่งผู้หนึ่งกล่าว

“ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้หลายคนต่างส่งกำลังใจให้ชาวจีนและหวังว่าชาวจีน จะลุกขึ้นมาแสดงทีท่าในสิ่งที่ดี ซึ่งมันจะทำให้ความมั่นใจในตนเองของจีนนั้นปรับเปลี่ยนและสร้างการรับรู้ ใหม่ให้กับคนทั่วโลกได้อีกด้วย”

ความทุกข์อันแสนสาหัสของชาติ
ถ้าวิกฤตการณ์นั้นเป็นสิ่งที่นิยามช่วงเวลานั้นๆ เหตุการณ์ในวันที่ 19 พ.ค. เวลา 2.28 น. โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ Wenchuan มันทำให้ประเทศหยุดชะงักไปชั่วขณะกว่า 3 นาทีในการรำลึกถึงความสูญเสียในวินาทีนั้น การจราจรชะงักงั้นไปชั่วครู่ ธงถูกลดลงครึ่งเสา ชาวจีนทุกหนทุกแห่งยืนหลั่งนำตาในความเงียบสงัด คนขับรถต่างบีบแตรเพื่อกระตุ้นทุกคนหันมาตื่นตัวท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้เกิดการเริ่มต้นของพิธีกรรมไว้อาลัย 3 วัน ในขณะที่กิจกรรมบนอินเตอร์เน็ตและเกมออนไลน์ทั้งหลายต่างก็หยุดชั่วคราว โทรทัศน์ทุกช่องโดยเฉพาะช่องที่มีการถ่ายทอดข่าวเปลี่ยนเป็นจอเป็นสีดำชั่ว ขณะ การแสดงความไว้อาลัยในทันทีต่อเหตุการณ์ความสูญเสียในระดับชาตินี้ช่วยปลุก กระตุ้นจิตสำนึกต่อส่วนรวมที่กำลังขาดหายไปของคนจีนให้ตื่นขึ้น สถาบันวิชาการต่างๆ ต่างหยิบยกถึงหลักคำสอนของขงจื้อมาโต้เถียงกันเป็นเวลานาน ซึ่งมันเป็นการย้ำเตือนหน้าที่ต่อคนในแผ่นดินที่จะเปลี่ยนแปลงโลกยุคใหม่ไป สู่โลกที่ใส่ใจในเรื่องของจิตใจ และคุณค่าของความเป็นมนุษย์กันมากขึ้น

คุณลักษณะนี้เคยเป็นคำกล่าวเกินจริงของคนยากไร้ในระบบทุนนิยิมในอดีต ที่มีส่วนทำให้สังคมจีนมีแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้าจากสองทศวรรษที่ผ่านมา ปกติแล้วการบริจาคเพื่อสาธารณกุศลของผู้คนและภาคธุรกิจในจีน รวมแล้วกว่า 0.09% ของ GDP ซึ่งเปรียบเทียบกับในสหรัฐนั้นเงินส่วนนี้มีถึง 2% แต่ในช่วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น จีนแสดงข้อมูลให้เห็นว่าไม่เพียงแต่ประชาชนจะรู้จักกับการเสียสละการให้มาก ยิ่งขึ้น พวกเขายังรู้ถึงวิธีการให้อีกด้วย

“Bullog” บล๊อกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของปักกิ่งได้ออกโครงการรณรงค์การบริจาคหลัง จากเกิดเหตุแผ่นดินไหวไม่นาน ทำให้ Tom.com หนึ่งในผู้นำทางด้านสื่อดิจิตอลของจีนนั้นได้รับเงินบริจาคกว่า 240,000 เหรียญสหรัญภายในวันที่ 21 พ.ค. เพียงวันเดียว ซึ่ง 9 วันหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้น การช่วยเหลือจากชาวจีนและผู้บริจาคชาวต่างชาติมียอดรวมสูงถึงราวๆ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว เงินบริจาคจำนวนมหาศาลนั้นมาจากประชาชนที่มีความเสียสละอันใหญ่หลวง

ดั่งตัวอย่างของการยืนต่อแถวเป็นแนวยาวเพื่อคอยให้ความช่วยเหลืออย่างอดทนใน สภากาชาดของจีนในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมานั้น Liang Baoying ครูวัยเกษียณอายุ 63 ปี ได้ใส่เงินช่วยเหลือในซองบริจาคกว่า 287 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเท่ากันกับเงินบำนาญที่เขาได้รับในทุกๆ เดือน เธอกล่าวด้วยอาการน้ำตาคลอว่าเธอไม่เคยดูข่าวแผ่นดินไหวทางทีวีมานานแล้ว เพราะว่ามันเศร้ายิ่งนัก “ฉันเชื่อในโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงของประเทศในครั้งนี้ ซึ่งพวกเราไม่มีทางเลือกอื่นใด (แต่มีทางเลือกที่จะให้) ฉันมั่นใจว่าสภากาชาดนั้นจะใช้จ่ายเงินบริจาคอย่างเหมาะสม”

คำพูดเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หนังสือพิมพ์ China Youth Daily รายงานว่าประชากรบางส่วนกว่า 200,000 คน จากทั่วทุกภูมิภาคของจีน ต่างมุ่งหน้าลงมาในบริเวณที่เกิดภัยพิบัติ เพื่อบริจาคอาหาร เครื่องกำบัง และยารักษาโรคต่างๆ จากถนนที่มีรถติดหนาแน่นในเมืองหลวงสู่ทางแคบๆ บนเขาของเมือง Sichuan การช่วยเหลือแบบส่วนตัวนี้มีมาในหลายๆ รูปแบบ ทั้ง เนื้อวัวจากในมองโกเลีย ถุงนอนที่ขนส่งมาจาก Shenzhen อุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ จาก Chongqing ขวดน้ำดื่มนับล้าน และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกหลายแพ็ค เหล่าอาสาสมัครต่างทำงานในพื้นที่ที่รัฐบาลยังไม่สามารถส่งความช่วยเหลือไป ได้ถึง ในหมู่บ้านของเมือง Yongan ทางตอนใต้ของกรุง Beichuan เหยื่อจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงคนชราต่างกรูมาต่อแถวกันที่ ท้องถนนรอการมาถึงของกองทหารม้า

“พวกเราไว้ใจและซาบซึ้งในอาสาสมัครที่นำอาหารมาให้พวกเรา” Wang Shaoqing ชายชราวัย 82 กล่าว ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้นเด็กๆ ก็วิ่งกรูเข้าไปที่รถของอาสาสมัครที่จอดอยู่พร้อมยื่นอาหารและน้ำดื่มผ่าน หน้าต่างรถให้ผู้ประสบภัยทั้งหลาย

การกระจายข่าวสาร
การอุทิศตนของอาสาสมัครได้ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อของรัฐที่แสดงให้เห็นถึงความ กระตือรือล้นคล้ายๆ กับกองทัพช่วยชีวิตขนาดใหญ่ สื่อที่ถูกครอบงำจากรัฐนั้นได้เปิดเสรีโดยการอนุมัติจากกระทรวงสารสนเทศของ จีนเอง ที่เปิดคลื่นความถี่เพื่อรายงานข่าวต่างในแผ่นดินไหวครั้งนี้ ในอีกด้านความเข้มงวดที่ไม่สามารถที่จะควบคุมโลกอินเตอร์เน็ตได้นั้น บล๊อกที่เป็นที่นิยมต่างๆ เปิดให้แสดงความคิดเห็นหรือฝากข้อมูลกันโดยไม่มีการเซ็นเซอร์ เหล่าบรรดาผู้แสดงความคิดเห็นทั้งหลายต่างก็เกาะติดสถานการณ์นี้และฟอรัมใน การถกเถียงต่างๆ ต่างก็อนุญาติให้มีการวิพากวิจารณ์การยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือของรัฐบาลในการ บรรเทาสาธารณภัยนี้อย่างเต็มที่

ตัวอย่างเช่น ความล้มเหลวของการนำเฮลิคอปเตอร์เข้าไปช่วยเหลือในสามวันแรกหลังจากแผ่นดิน ไหวที่มีการร่วมกันแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างมาก สิ่งที่สร้างความประหลาดใจอย่างหนึ่ง คือ ความชำนาญในเรื่องการนำเสนอข่าวของจีนมีอิสระมากขึ้น มีการนำเสนอข่าวในโทรทัศน์และวิทยุอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนังสือพิมพ์ก็นำเสนอบทความพิเศษที่มีข้อมูลที่ละเอียดที่เหนือกว่า จากเดิมที่นักข่าวนั้นรายงานสดจากห้องพักในโรงแรมหรู การลงไปตลุยลงพื้นที่จริงสะท้อนว่า  “3-5 ปีมานี้ สื่อของรัฐและสื่อออนไลน์นั้นนิ่งเฉยและไม่หวือหวาอะไรเลย ไม่มีพลังของสื่อมวลชน ไม่มีประสบการณ์หรือทักษะในการทำงานในเหตุการณ์ขนาดใหญ่แบบนี้มากอ่น” Xiao Qiang ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสื่อของจีนแห่ง University of California, Berkeley กล่าว

“มันเป็นไปตามกระบวนการซึ่งมันจะพัฒนามากขึ้นในสามถึงห้าปีข้างหน้านี้ด้วย มันไม่ได้เป็นภาพรวมของอิสรภาพของสื่อในจีน แต่มันเป็นก้าวกระโดดสำคัญในการสร้างพลังให้กับสังคมของชาวจีนเองในอนาคต”

ถ้าไม่เป็นฮีโร่…ก็เป็นผู้ร้าย
หลายคำกล่าวชื่นชมจากชาวจีนและชาวต่างชาติ ต่อการปฏิบัติการช่วยเหลือที่ตอบรับสถานการณ์อย่างรวดเร็วและเป็นไปในทางบวก ประธานาธิบดี Wen Jiabao วัย 66 ปี ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว บินลงไปถึงยังที่เกิดเหตุและคอยดูแลสั่งการอยู่ในพื้นที่กว่า 4 วัน โทรทัศน์ทุกช่องของจีนต่างเต็มไปภาพผู้นำที่ดูกระตือรือร้นและจริงจังต่อการ แก้ไขปัญหา ให้ความช่วยเหลือผู้ที่รอดชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

มีความสงสัยเพียงน้อยนิดต่อท่านประธานาธิบดีที่ลงมาช่วยเหลือในครั้งนี้ว่า มาด้วยความจริงใจอย่างเห็นอกเห็นใจจริงๆ หรือเพียงเพื่อภาพลักษณ์ เพราะ Wen นั้นเป็นบุคคลที่คุ้นเคยในภาพของบุคคลแห่งพรรคคอมมิวนิสต์มานาน แต่มีความแคลงใจเพียงเล็กน้อยที่กล่าวว่าท่าน การที่ผู้รอดชีวิตและคนที่ดูอยู่ยังคงรู้สึกเชื่อใจกับพรรคคอมมิวนิสต์ต่อไป หรือไม่ขึ้นอยู่กับการจัดการสภาวะวิกฤตครั้งนี้อย่างไร การละทิ้งอุดมการณ์ของลัทธิ Marxist-Leninist นั้น รัฐบาลต่างก็ได้รับความไว้วางใจเพิ่มมากขึ้นจากประชาชนที่ยอมรับโดยความชอบ ธรรม ซึ่งก็ทำให้ภาพของประธานาธิบดีในโทรทัศน์นั้นส่งผลต่อการแสดงความปลาบปลื้ม ของชาวจีนหลายคนเป็นที่สุด “ผมไม่สามารถที่จะหยุดความเศร้าได้ ยิ่งเมื่อผมยิ่งเห็นภาพท่านประธานาธิบดีกำลังอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับความ เดือดร้อนนั้น” นี่คือหนึ่งในคอมเมนต์ในออนไลน์ “ผมรู้สึกปลอดภัยมากๆ ที่มีผู้นำที่มหัศจรรย์เช่นนี้” และนี่ก็คือหนึ่งในคอมเมนต์เช่นกัน

ความนิยมในตัวผู้นำนี้เป็นอันตรายที่เกิดขึ้นกับจุดยืนของพรรค อดีตที่เจ้าหน้าที่รัฐผู้ที่คอรัปชั่นและรับสินบนมหาศาล มันสะท้อนภาพรุนแรงในครั้งก่อนถึงจำนวนของนักเรียนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ โรงเรียนถล่มที่ถูกฝังอยู่ในเศษซากของโรงเรียน มีการสูญเสียอย่างน้อยๆ ก็กว่า 600 ชีวิต การคอรัปชั่นนั้นเป็นสิ่งพิสูจน์ถึงความเลวร้ายในอดีตที่ผ่านมาได้เป็นอย่าง ดี มันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์เดินขบวนที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 ซึ่งถ้ากล่าวรวมกับนักศึกษาที่ตายไปโดยทางรัฐปกปิดข้อมูลไว้ หลายต่อหลายคนบนโลกออนไลน์ที่โกรธเกรี้ยวกับการถล่มโรงเรียนเคยถูกกำจัดหัว ข้อการสนทนาทั้งหมด

แต่นาย Jiang นักศึกษาของ the University of Alberta กล่าวว่าสังคมของชาวจีนนั้นได้มีการพัฒนาขึ้น ผู้นำก็รู้ว่าควรจะปรับตัวเช่นไร “มันเป็นความพยายามอย่างมุ่งมั่นที่จะควบคุมอุดมการณ์ในการใช้เหตุการณ์ภัย พิบัตินี้เพือเรียกความนิยม และบงการให้การเปิดเผยและรายงานข้อมูลเป็นแต่การนำเสนอข่าวที่ดีในทางบวก แต่มันเป็นหนึ่งก้าวที่จะย้อนกลับเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงอีก สองก้าวในวันข้างหน้า”

ภายหลังเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้ มันยากที่จะระงับแรงกระตุ้นทางสังคม Chen Gang ประธานของบริษัท Chengdu บริษัทผลิตมีด ซึ่งเขาได้กระโดดลงไปช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีในการบรรเทาภัยพิบัตินั้นมอง ว่าประเทศกำลังจับตาอยู่บนสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำให้ประชาชนได้รับรู้และจดจำอะไรหลายอย่างมากขึ้น “ผู้คนทั้งประเทศต่างได้เห็นกับปาฏิหาริย์ต่างๆมากมาย” นาย Chen ยังกล่าวอีกว่า “สำหรับประวัติศาสตร์ของชาตินั้น คราใดที่เราย้อนกลับไปมันจะยังคงเป็นสิ่งที่ดีงาม ผมจะไม่พูดถึงเรื่องของพรรคการเมืองใด ผมจะพูดถึงแต่เรื่องราวของชาติตนเท่านั้น” เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ Wenchuan นั้นได้ทำให้เผยให้เห็นว่าจีนได้ปรับเปลี่ยนท่าทีและเหลียวมองต่อความรู้สึก รอบข้าง การเมืองและวัฒนธรรมหลังภัยพิบัติครั้งนี้จะเป็นไปในทิศทางใดภายหลังจากแผ่น ดินได้สงบลงก็คงต้องติดตามกันต่อไป

(บทแปลความจาก บทความ “Helping Hand” จาก www.time.com เขียนโดย Austin Ramzy กับ Lin Yang และ Yingxiu กับ Jodi Xu / สำนักข่าวกรุงปักกิ่ง)