————————————

บางตอนจากการสัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล
โดยสุทธิพงศ์ ธรรมวุฒิ
เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓
ออกอากาศในรายการ “ คนค้นฅน”
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓

————————————-

เดินออกจากความหดหู่โศกเศร้า

ความรู้สึกหดหู่ ห่อเหี่ยว อาจจะสืบเนื่องมาจาก การที่เห็นคนไทยทำลายล้างกัน ฆ่ากัน และแตกแยกกันอย่างขนานใหญ่ ในแง่นี้อาตมาเชื่อว่า ถ้าเรามองไปยังอดีต สังคมไทยก็เคยผ่านเหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้มาแล้วและเราก็สามารถก้าวข้ามพ้นไป ได้ ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ตอน ๖ ตุลาคม อาตมาเชื่อว่าคนที่เห็นภาพนักศึกษาถูกฆ่าที่ธรรมศาสตร์หรือที่สนามหลวง มันสั่นสะเทือนความรู้สึก มันหดหู่ หมดศรัทธาในมนุษย์และหมดศรัทธาในคนไทยด้วยกัน แต่ว่า สองสามปีหลังจากนั้น มันก็ดีขึ้นใหม่และมีความหวังเกิดขึ้น คือถ้าเรานำประวัติศาสตร์มาเป็นบทเรียน อาตมาเชื่อว่าสังคมไทยจะสามารถก้าวข้ามความหดหู่เศร้าหมอง ขอเพียงแต่เรามีศรัทธาในอนาคต ศรัทธาในความดีที่ยังมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ในคนไทยทุกคน แม้ว่าจะมีความพลั้งพลาด พลั้งเผลอไปบ้าง

ก้าวข้ามความโกรธเกลียด เคียดแค้น

จริงๆอาตมารู้สึกว่า ความหดหู่เศร้าหมองตอนนี้ อาจจะยังไม่น่ากลัวเท่ากับความเคียดแค้นชิงชัง ความหดหู่เพียงแค่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากทำอะไร หมดเรี่ยวหมดแรง เพราะไม่มีศรัทธาอะไรเลย แต่นั่นไม่ร้ายเท่ากับความโกรธ เกลียด เคียดแค้น พยาบาท เพราะเมื่อเรามีความโกรธเกลียด เคียดแค้นแล้ว เราจะอยากทำอะไรบางอย่าง อยากจะแก้แค้น อยากจะตอบโต้ แล้วก็มักจะนำไปสู่ความรุนแรงซึ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

เวลาที่เกิดความรู้สึกเหล่านี้ ขึ้นมาในใจ มันทำร้ายจิตใจเราเป็นคนแรก และคนอื่นก็จะพลอยได้รับโทษภัยจากความรู้สึกนี้ตามมาเริ่มจากคนใกล้ตัวเรา จนถึงคนที่เรามองว่าเขาเป็นศัตรู เขาไม่ใช่พวกเรา เขาเป็นตัวการที่ทำให้เราสูญเสีย เจ็บปวด ปัญหาคือตอนนี้ทุกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองถูกกระทำ ทุกฝ่ายมีความเจ็บปวดรวดร้าว แต่อาตมาเชื่อว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดงหรือไม่ใช่เสื้อแดงต่างเจ็บ ปวดทั้งนั้น เคียดแค้นเพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกกระทำ ฝ่ายนปช.ก็รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียเพื่อนที่ถูกยิงในสมรภูมิ ซึ่งยังไม่ขอพูดว่าเป็นใครที่ยิง แต่ฝ่ายนปช.หรือเสื้อแดงเขารู้สึกว่าเพื่อนเขาที่ไม่มีอาวุธเลยแต่ตายแบบนี้ มีหลายคน เป็นความรู้สึกว่าเขาถูกกระทำ คนที่ไม่ใช่เสื้อแดงเขาก็รู้สึกว่าถูกกระทำเหมือนกัน สองเดือนที่ผ่านมาเขาเดือดร้อนมาก และสุดท้ายก็ลงเอยที่ทรัพย์สินของเขาสูญไปหมดเลย ทำมาหากินไม่ได้ บางคนก็เจ็บปวดเคียดแค้น เพราะว่าคนรักของตัวเองต้องตาย บางคนที่ตายก็ไม่ใช่เสื้อแดง แต่ตายในเหตุการณ์ ตายโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว คนเหล่านี้ก็เจ็บปวดเคียดแค้นว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอาตมามองว่า ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าตนเองสูญเสียและเจ็บปวด เป็นฝ่ายถูกกระทำ ตรงนี้อาตมาคิดว่า จะต้องมาช่วยกันเยียวยาสมานแผลความเจ็บปวดความเคียดแค้นนี้ให้ได้

เราหลงลืมบทเรียน จากอดีต

สังเกตุเห็นไหมว่าความรุนแรงที่ เกิดขึ้นกลางเมืองมักจะเกิดขึ้นเกือบทุก ๒๐ ปี คือเกิดขึ้นทุกgeneration อาตมาคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราหลงลืมเหตุการณ์ในอดีต ตอนพฤษภาทมิฬปี ๓๕ คนจำนวนไม่น้อยหลงลืมเหตุการณ์ ๖ ตุลาคมซึ่งผ่านไปไม่ถึง ๒๐ ปี มาถึงตอนนี้คนก็ยิ่งไม่ตระหนักเลยว่า เราได้เคยผ่านเหตุการณ์ ๖ ตุลาคมและพฤษภาทมิฬมาแล้ว หลายคนไม่ตระหนักเลย

เหตุการณ์ ๖ ตุลาเป็นตัวอย่างเด่นชัดเลยว่า เมื่อคนเรายึดติดกับอุดมการณ์แล้ว สามารถทำลายล้างกันได้ คนธรรมดามือเปล่าๆสามารถที่จะเผานักศึกษาทั้งเป็นได้ เพราะอะไร เพราะความโกรธเกลียด เพราะความเชื่อมั่นในความถูกต้องว่า ฉันถูก แกผิด ความรู้สึกนี้ได้เกิดขึ้นอีกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา อาตมาคิดว่าคำอธิบายเรื่องนี้มีเยอะนะ แต่ข้อหนึ่งก็คือว่า เราหลงลืม คนไทยเรามักพูดกันว่า ให้อภัย ให้อภัยด้วยการลืม เราก็เลยไม่มีอนุสรณ์สถานของ ๖ ตุลาคมที่จะเตือนใจเราว่า เราผ่านการทำลายล้างแบบนี้มาแล้ว และเหตุการณ์ตอนนั้นก็เกือบจะทำให้เมืองไทยเกิดสงครามกลางเมือง แต่ในที่สุดเราก็ได้เรียนรู้ว่า ฆ่ากันไม่มีประโยชน์ อาตมาคิดว่ากรณี ๖ ตุลานี้ก็ให้ความหวังกับเรานะว่า ครั้งหนึ่งคนไทยเกือบจะทำสงครามกลางเมืองกันมาแล้ว แต่ว่าเราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่เจ็บปวดในตอนนั้นว่า ความรุนแรงไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้

ฟ้าจะสางหลังคืนวันอัน มืดมิด

อาตมายังมีความหวังว่า ในคืนวันที่มืดมิดอย่างตอนนี้ ซักวันหนึ่งย่อมมีโอกาสที่ฟ้าจะสาง นี้คือบทเรียนจากประวัติศาสตร์ แต่ขณะเดียวกันบทเรียนจากประวัติศาสตร์ก็ทำให้เราเห็นว่า เมื่อต่างฝ่ายต่างยึดมั่นในความถูกต้อง ไม่ยอมถอย ก็จะเกิดการสูญเสียขึ้นมา ตอนนี้อาตมาก็ยังเป็นห่วงอยู่นะ เพราะว่าฝ่ายที่เรียกร้องให้ปรามปรามคนเสื้อแดงก็ยังมีอยู่มาก เรียกร้องให้จัดการกับเขาด้วยวิธีใดก็ได้ การทำอย่างนี้อาจจะเป็นการผลักดันให้เขาเป็นปฏิปักษ์กับส่วนที่เหลือในสังคม ไทยมากขึ้น และไม่มีทางที่จะคืนดีกันได้ พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า เราควรมองข้ามกระบวนการยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมก็ควรดำเนินไป และก็สำคัญด้วย การทำความจริงให้ปรากฏว่า ใครที่ทำผิด ใครที่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ จะต้องถูกพาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ที่ไหนๆเขาก็ใช้วิธีนี้ กระบวนการยุติธรรมจะช่วยเยียวยาจิตใจของผู้คนได้ คำพูดที่ว่า เราลืมกันเถิด แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง คงไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เราต้องกลับมาเรียนรู้เหตุการณ์ที่ผ่านมา ให้อภัยก็ดีแล้ว แต่ว่าต้องไม่ลืม ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “Forgive not forget ให้อภัยแต่ไม่ลืม”

อย่าเห็นเพียงยอดภูเขา น้ำแข็ง

คนไทยมักจะมองว่าเรื่องที่เกิด ขึ้นเป็นเรื่องตัวบุคคล ที่ขบวนการเสื้อแดงขยายตัวมากขึ้นก็เพราะว่าคุณทักษิณ ขณะที่คนเสื้อแดงก็มองว่าปัญหาของระบบอมาตย์ทั้งหมดอยู่ที่พลเอกเปรม คือคนเรามักจะมองปัญหาในแง่ตัวบุคคล เหมือนกับกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เราก็มองว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผู้ก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน เราไม่เคยมองเห็นถึงรากเหง้าของปัญหาที่ดึงคนเป็นจำนวนนับล้านมาสนับสนุนคน กลุ่มที่อาตมาพูด

กอส.(คณะกรรมการอิสระเพื่อความ สมานฉันท์แห่งชาติ)เคยทำการศึกษาเรื่องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาตมาก็เป็นกรรมการกอส.คนหนึ่ง เราพบว่าปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จริงอยู่มีขบวนก่อการร้ายแต่ที่ขบวนการก่อการร้ายเติบใหญ่เข้มแข็งก็เพราะ ว่า มันมีรากเหง้าอยู่สองประการ ประการแรกคือความยากจนของคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และประการที่สองคือความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าแก้ไขปัญหาสองข้อนี้ได้ ขบวนการก่อการร้ายซึ่งมีคนอยู่ไม่กี่คน และเป็นพวกสุดโต่ง จะไม่มีกำลังพอ จะไม่ขยายตัว จะไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน สาเหตุสองข้อนี้ก็ไปสอดคล้องกับกรณีที่คนเสื้อแดงบอกว่ามีความไม่เป็นธรรม มีสังคมสองมาตรฐาน และต้องเติมข้อหนึ่งว่ามีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจด้วย เราจะต้องมองให้เห็นถึงรากเหง้าของปัญหาว่าเป็นเรื่องของโครงสร้าง

สาเหตุทั้งสองข้อนี้ทำให้คน จำนวนมากเทใจไปให้พรรคไทยรักไทยและคุณทักษิณ เพราะมีเชื้ออยู่ก็คือ เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาถูกรังแกจากเจ้าหน้าที่รัฐ สังคมมีความเหลื่อมล้ำ เขายากจน แต่พอมีโครงการสามสิบบาทจากคุณทักษิณลงมา เขาก็มีความพอใจ ทั้งๆที่สิ่งที่คุณทักษิณให้แก่ประชาชนน้อยกว่าสิ่งที่เขาแบ่งปันให้กับ เครือข่ายและอาจรวมถึงครอบครัวของเขาด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากชาวบ้านถูกละเลยมาตลอด เขายากจน เมื่อมีนโยบายประชานิยมจากคุณทักษิณ เขาก็ชื่นชมและเทิดทูนคุณทักษิณ อันนี้เป็นสาเหตุรากเหง้าในเชิงโครงสร้างที่ทำให้คนอย่างคุณทักษิณสามารถที่ จะเป็นศูนย์รวมของขบวนการนปช.หรือสามารถทำให้แกนนำนปช.รวบรวมคนได้มากมาย ทั้งประเทศ

ฉะนั้นอาตมาคิดว่าถ้าไม่แก้ ปัญหานี้ แม้จะจัดการกับคุณทักษิณได้ หรือแม้คุณทักษิณมีอันเป็นไปในวันข้างหน้า ก็จะมีนักการเมืองอย่างคุณทักษิณที่สามารถดึงประชาชนเข้ามาร่วมขบวนการและ ต่อสู้เรียกร้อง อย่างที่นปช.ได้ทำมาแล้ว อาตมาคิดว่านี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญามองให้ถึง ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยมองไปไม่ถึงตรงนี้ คือติดแค่ตัวบุคคลคือคุณทักษิณ หรือเวลามองปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มองติดแค่ผู้ก่อการร้าย หรือผู้ก่อความไม่สงบไม่กี่คน แต่ไม่เห็นรากเหง้าของปัญหา จะว่าไปแล้วปัญหาเหล่านี้เหมือนภูเขาน้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็งเราเห็นแต่ยอด แต่เรามองไม่เห็นน้ำแข็งข้างล่างซึ่งมากเป็นสิบเท่าของส่วนที่อยู่เหนือน้ำ กรณีนปช. เราเห็นแต่คุณทักษิณอยู่ข้างบน แต่เราไม่เห็นถึงรากเหง้าของปัญหาที่เป็นโครงสร้างที่ไม่ยุติธรรมซึ่งอยู่ ข้างใต้ ที่มองไม่เห็นเพราะมันเป็นนามธรรม

อาตมาคิดว่าเราต้องช่วยกันใช้ ปัญญาเพื่อมองให้เห็นถึงรากเหง้าของปัญหา แล้วพากันขับเคลื่อนเมืองไทยให้มีการปฏิรูป ให้มีการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจ ภาษีที่ดินแบบก้าวหน้า ภาษีมรดก ปฏิรูปที่ดิน เป็นเรื่องที่จะต้องทำให้เป็นจริง อย่าขัดขวาง เพราะถ้าขัดขวางแล้วมันจะไม่มีทางแก้ปัญหาที่ว่าได้ และถ้าเราแก้ปัญหานี้ไม่ได้ ก็จะเกิดการชุมนุมประท้วงและปะทะกันอีก

สิ่งที่ต้องใส่ใจ

สิ่งที่เราต้องใส่ใจตอนนี้ คือการช่วยเยียวยาความเจ็บปวดของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่ความหดหู่เศร้าหมองอย่างที่เราพูดกันเมื่อตอนต้นเท่านั้น ความเจ็บแค้น ความพยาบาท ซึ่งสืบเนื่องมาจากความทุกข์ที่ถูกกระทำ ก็เป็นสิ่งที่เราจะต้อง
จัดการอย่างเร่งด่วน อาตมาคิดว่าสิ่งแรกเลยที่อยากเชิญชวนให้ทำก็คือลองเปิดใจรับรู้ถึงความทุกข์ ของฝ่ายอื่นด้วย

ใส่ใจ เปิดใจ รับรู้ รับฟัง

ตอนนี้ทุกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองถูกกระทำโดยอีกฝ่ายหนึ่ง คนเสื้อแดงก็รู้สึกว่าถูกกระทำโดยรัฐบาลและโดยคนในกรุงเทพซึ่งมีเงิน ส่วนคนกรุงเทพ หรือคนเสื้อเหลือง เสื้อขาว เสื้อชมพูก็รู้สึกว่าตัวเองถูกกระทำจากคนเสื้อแดงซึ่งมายึดบ้านยึดเมืองมา สองเดือนแล้วก็เผาบ้านเผาเมืองอีก นี้คือความรู้สึกของแต่ละฝ่ายโดยไม่ได้ตระหนักว่า เราไม่ได้ทุกข์ฝ่ายเดียว คนอื่นเขาก็ทุกข์ ก็เจ็บปวดเหมือนกัน อาตมาเชื่อว่าถ้าเราลองเปิดใจรับรู้ความทุกข์ของอีกฝ่ายหนึ่งว่า เขาไม่ได้เป็นฝ่ายกระทำเราอย่างเดียวนะ เขาเองก็ถูกกระทำด้วย ถูกกระทำโดยพวกเรา อาตมาเชื่อว่าถ้าเราเปิดใจรับรู้ถึงความทุกข์ของอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว เราจะลดความโกรธเกลียดลง เราจะเห็นใจกันมากขึ้น และเราก็จะตระหนักว่าถึงที่สุดแล้ว เราเป็นเพื่อนทุกข์เหมือนกัน

รู้ทันความจริง เท่าทันอคติ อย่าซ้ำเติม

ในระดับบุคคล มันมีตัวปิดกั้นไม่ให้เราเห็นปัญหาหรือสาเหตุอย่างที่อาตมาพูดมา ตัวที่ปิดกั้นนั้นก็คือความโกรธ ความเกลียด และอคติรวมทั้งการตีตราปิดป้ายให้กับคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราเชื่อตั้งแต่แรกว่าผู้ที่มาชุมนุมของคนเสื้อแดงรับเงิน มา เราก็จะไม่มีทางรับรู้ถึงความทุกข์ ความรู้สึกเคียดแค้นที่เขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ความรู้สึกเจ็บปวดที่เขาถูกดูถูก เราไม่เคยได้ยิน และจะไม่ได้ยินความรู้สึกแบบนี้ ถ้าเราสรุปตั้งแต่แรกว่าพวกนี้รับเงินเขามา หรือพวกนี้หลงผิด อาตมาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องรับเงิน เรื่องหลงผิด มันก็มี แต่คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขามาด้วยความเชื่อจริง ๆ ว่าสังคมนี้ไม่เป็นธรรม แต่เราไม่เชื่อเลยว่าเขาคิดแบบนี้ เขาน้อยอกน้อยใจ เขารู้สึกเจ็บปวดที่คนกรุงเทพฯดูถูกเขา หาว่าเขาโง่ เขารู้สึกคับแค้นใจว่า ไม่ว่าเขาทำอะไรทำไมไม่เคยมีใครเห็นด้วยกับเขาเลย ทำไมเขาเป็นผู้ถูกกระทำตลอดเวลา ตรงนี้อาตมาคิดว่าเป็นเพราะอคติ เป็นเพราะว่าเราตีตราปิดป้ายให้กับเขาแล้ว อาตมาเชื่อว่าเสื้อแดงก็คงมองคนอื่นในทำนองนี้เหมือนกัน ก็เลยไม่สามารถจะเข้าใจว่าทำไมคนกรุงถึงมีปฏิกิริยากับเขาแบบนั้น

ก้าวข้ามอคติ สู่ปัญญา และเมตตากรุณา

เคยมีครูคนหนึ่งมีปัญหามาก เนื่องจากนักเรียนในห้องทะเลาะกัน เพราะว่าฝ่ายหนึ่งผิวดำกับผิวเหลือง อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผิวขาว เป็นเม็กซิกันบ้าง เป็นพวกเชื้อสเปนบ้าง เรื่องนี้เกิดในอเมริกา นักเรียนทะเลาะกัน ทำร้ายกันอยู่เป็นประจำ ครูไม่รู้จะทำอย่างไร นักเรียนในห้องมีแค่ ๓๐ คนแต่ว่าเป็นศัตรูกัน แล้ววันหนึ่งสิ่งที่ครูทำก็คือ ครูขีดเส้นกลางห้อง และถามว่าใครที่ไม่เคยสูญเสียพี่น้องหรือเพื่อนอยู่ตรงฝั่งนี้ ใครที่เคยสูญเสียพี่น้องหรือเพื่อนอยู่ฝั่งโน้น ปรากฏว่าแทบทั้งห้องเฮโลไปอยู่ฝั่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผิวเหลือง ผิวดำ ผิวขาว ไปอยู่ฝั่งเดียวกันหมด ทีนี้ครูถามต่อว่า ใครที่ไม่เคยถูกกระทำให้อยู่ฝั่งนี้ ใครเคยถูกกระทำให้ไปอยู่ฝั่งโน้น ทั้งกลุ่มก็เฮโลข้ามไปอยู่ฝั่งโน้นกันหมด ทีนี้ทุกคนก็ได้คิดว่า ไม่ว่าผิวสีไหนต่างก็เป็นผู้สูญเสียเหมือนกัน เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกัน มีความทุกข์เหมือนกัน เขาเริ่มได้คิดว่าที่เคยมองว่าเป็นคนละพวก คนละกลุ่ม คนละสี ที่จริงแล้วเราทุกคนมีชะตากรรมเดียวกันคือ เราเจ็บปวดเหมือนกัน เราถูกกระทำเหมือนกัน ตรงนี้ทำให้นักเรียนในห้องเริ่มเข้ามาใกล้กันมากขึ้น เห็นใจกันมากขึ้น ที่ผ่านมาเราเห็นแต่ความแตกต่าง แต่เรามองไม่เห็นความเหมือนเลย และความเหมือนอย่างหนึ่งก็คือ เราต่างเป็นผู้สูญเสีย เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกัน

อาตมาคิดว่าการให้ผู้คนพูดได้ ถึงความทุกข์ของตัว ความคับแค้นของตัว ความเจ็บปวดของตัว จะช่วยเยียวยาได้ เราควรมีพื้นที่ให้กับทุกฝ่ายที่เจ็บปวด ให้เขาได้พูด ให้เขาได้เล่า ให้เขาได้ระบาย มันเป็นประโยชน์ต่อคนพูดเอง และเป็นประโยชน์ต่อคนฟัง หรือคนดูด้วย ที่เราเคยคิดว่าเขาไม่ได้สูญเสียอะไรเลย แต่ที่จริงแล้วเขาสูญเสียเยอะเลย ทีนี้ความเห็นใจซึ่งกันและกันก็จะมีมากขึ้นและจะช่วยบรรเทาความเคียดแค้นและ ความพยาบาทได้

เมื่อเกิดเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ประธานาธิบดีบุชบอกว่า ถ้าใครไม่ใช่พวกเรา ก็เป็นพวกเดียวกันกับผู้ก่อการร้ายคือ บินลาเดน ถ้าใครไม่เห็นด้วยกับเราก็แสดงว่าเป็นศัตรูกับเรา ความคิดแบบนี้ทำให้อเมริกาเกิดสงครามยืดเยื้อในอัฟกานิสถาน ในอิรัก และอาจจะในปากีสถานด้วย ป่านนี้สงครามยังไม่จบเลย ฉะนั้นถ้าคนไทย หรือรัฐบาลก็ตามมีความคิดว่า ถ้าใครไม่เห็นด้วยกับฉัน ก็แสดงว่าเป็นศัตรูกับฉัน ถ้าไม่เห็นด้วยกับเสื้อเหลือง ก็แสดงว่าเป็นเสื้อแดง ถ้าไม่เห็นด้วยกับเสื้อแดง ก็แสดงว่าเป็นเสื้อเหลือง ความคิดแบบนี้จะนำไปสู่ความแตกแยกที่ร้าวลึกมากขึ้น

ถ้าเราเป็นชาวพุทธเราก็ต้องนำ พระกรุณาคุณของพระพุทธเจ้ามาเป็นประทีปนำทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ใกล้จะถึงวันวิสาขบูชาแล้ว เราควรระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงคำสอนของพระองค์ ระลึกถึงพุทธคุณที่ทำให้เกิดมหาบุรุษดังเช่นพระพุทธเจ้า พุทธคุณนั้นคือปัญญาและกรุณา ปัญญาคือการมองมนุษย์ว่าเป็นเพื่อนร่วม ทุกข์กับเรา ปัญญาคือการมองว่าศัตรูที่แท้ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่คนต่างสี แต่คือความโกรธความเกลียด คืออวิชชา คือความโลภ ความเห็นแก่ตัว คือตัณหา มานะ ทิฐิ ถ้าเรามองอย่างนี้เราจะมีกรุณาและเมตตา คือไม่รู้สึกเกลียดชังคนที่ต่างจากเรา ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นศัตรู เพราะรู้ว่าเขาเองก็มีความทุกข์ แม้เขาจะทำร้ายเรา ก็ไม่ได้เกลียดเขาเพราะรู้ว่าเขาพลั้งพลาดหลงผิด กรุณาจะทำให้เราสามารถร่วมมือกัน ผิดก็ว่ากันไปตามผิดอาตมาไม่ว่าอะไร แต่ว่ากรุณาจะทำให้เราให้อภัยกันได้มากขึ้น และถ้าเรามีปัญญา มองเห็นปัญหาถึงรากเหง้า ก็จะนำไปสู่การขับเคลื่อนสังคมไทย ให้มีการปฏิรูป ขจัดรากเหง้าของความรุนแรง และนำไปสู่ความหวัง อาตมาเชื่อว่าเราต้องมีความหวัง เราต้องมีศรัทธาในเพื่อนมนุษย์ เราต้องมีศรัทธาในทุกคนที่เป็นคนไทย ตรงนี้จะทำให้เราฝ่าข้ามวิกฤตขณะนี้ไปได้

ที่มา: http://www.visalo.org/columnInterview/konkonkon_530525.htm