เส้นทางของชีวิต

โดย  จันที นามวิชา              

 มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.)

การได้ทำงานที่มูลนิธิเพี่อการพัฒนาเด็ก(มพด.) ได้ช่วยเหลือเด็กที่ประสบปัญหาการใช้แรงงาน  ทำงานหนัก ทำงานนานเกิน 8 ชั่วโมง บางครั้งได้นอนวันละ 3-4 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น และได้รับค่าแรงในการทำงานน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ  บางกรณีไม่ได้เลยสักบาท แรงงานเด็กบางคนโชคร้ายเจอกับนายจ้างใจร้ายที่มักทุบตี ทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศ ชีวิตยิ่งกว่าละคร!

การได้ช่วยเหลือเด็กทำให้เห็นถึงความเป็นจริงของโลกว่ามีความหลากหลายมีทั้งคนดีและไม่ดี  โชค ดีที่ดิฉันได้เข้ามาเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิฯ ทำให้ดิฉันได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น และตระหนักถึงปัญหาและเห็นความสำคัญของเด็ก  จึงได้ปฏิบัติงานเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือเด็กตลอดมาจนถึงปัจจุบันได้เป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ  และ การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้ตัวเองค้นพบว่าความสุขที่แท้จริงคือการไห้ความช่วย เหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่ใช่ทำตามหน้าที่หรือหวังผลงาน  แต่ทำด้วยความจริงใจ  เพราะอยากช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน       

ดิฉัน ขอเล่าเหตุการณ์ความรู้สึกที่ได้ให้ความช่วยเหลือเด็กบางกรณีให้ท่านผู้อ่าน ได้ฟังหวังว่าบทความนี้ทำให้ท่านเห็นสภาพถึงปัญหา เพื่อช่วยกันแก้ไขและปกป้องคุ้มครองเด็ก ช่วยกันสร้างสันติให้ในมวลมนุษยชาติเพื่อให้สังคมโลกน่าอยู่  กรณีแรงงานเด็กทำงานบ้านที่ประสบปัญหาทำงานหนักไม่ได้ค่าจ้าง  ถูกทุบตีทำร้ายร่างกาย  เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากผู้หวังดีว่ามีเด็กทำงานบ้านถูกทำร้ายร่างกาย  เจ้าหน้าที่จึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นปรากฎว่าเป็นข้อมูลจริงจึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลงพื้นที่ช่วยเด็ก  ปรากฎว่าในวันที่ได้ลงไปช่วยเด็กเห็นสภาพเด็กมีเลือดออกที่จมูกเพราะนายจ้างเอาของตีเด็กที่จมูกเด็ก สาเหตุเพราะเด็กทำงานไม่ถูกใจ  เจ้า หน้าที่ตำรวจเห็นสภาพเด็กมีเลือดออกในจมูกและเลือดติดตามเสื้อ จึงให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ พาเด็กออกมาเพื่อสอบถามข้อมูลข้อเท็จจริง  ปรากฏว่าเด็กได้ถูกทำร้ายร่างกายจริงและทำงานหนัก ได้นอนประมาณ 4-3 ชั่วโมงต่อวัน  ทำงานไม่มีวันหยุด  ถูกกักขังไม่ให้ออกนอกบ้านและไม่ให้ออกนอกห้องนอนโดยล็อคประตูขังเด็กไว้  โดย แพทย์ได้ตรวจร่างกายเด็กมีรอยแผลเป็นทั่วร่างกายและรอยแผลเป็นที่เกิดจาก ความร้อนเตารีดที่ถูกนาบลงไปที่แขน ท่านผู้อ่านลองนึกดูสิคะว่าถ้ารอยแผลเป็นที่พูดถึงถ้าเป็นช่วงที่โดนแรกๆ เด็กคงจะทรมานน่าดู เห็นสภาพเด็กในขณะที่กำลังช่วยเด็กออกมานั้น ดิฉันอยากจะร้องไห้เนื่องจากสงสารเด็กแต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้เพื่อให้เด็ก มั่นใจและเชื่อใจว่าเรามาช่วยเขาจริงๆ   เด็กขึ้นมาทำงานใน กรุงเทพฯ ได้เนื่องจากถูกเพื่อนล่อล่วงมาและมีนายหน้าเป็นผู้นำพาและจัดส่งเด็กไปตาม สถานประกอบการต่างๆ พอถึงสถานประกอบการนายจ้างจะให้เด็กทิ้งของทุกอย่างที่เด็กนำติดตัวมา เช่น เสื้อผ้าเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อทางบ้านเพื่อไม่ให้เด็กติดต่อคนภายนอก  กรณีนี้เด็กได้รับความช่วยเหลือและบำบัดจิตใจและส่งเด็กกลับภูมิลำเนา   ปัจจุบันเด็กคนนั้นแต่งงานและใช้ชีวิตทำไร่ทำนาอย่างพอเพียงและมีความสุข ส่วนนายจ้างถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

“1 ชีวิตก็มีคุณค่าเพียงแต่เขาเลือกเกิดไม่ได้” ทำให้เขามีความจำเป็นต้องดิ้นรนมาใช้แรงงานต่างแดนเพื่อมีชีวิตที่ดี แต่ความฝันของเขาก็มืดมนเพราะเจอผู้แสวงหาผลประโยชน์  แต่ก็โชคดีที่มีบุคคลที่ดี มีความรักมีความเอื้ออาทรนำทางเด็กคนนี้ไปสู่แสงสว่าง  ดิฉัน เชื่อในสังคมเรายังมีคนดีที่มีจิตใจที่เอื้ออาทรพร้อมที่จะช่วยเพื่อนมนุษย์ ด้วยกันโดยไม่แบ่งว่าเขาเป็นคนชาติใด แต่มองเขาด้วยความเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกมีชีวิตติจใจเช่นเดียวกับเรา และอยากให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพเป็นคนดีของสัมคมเป็นพลังของ ชาติ 

หวัง เป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะช่วยสร้างให้เกิดจิตอาสาเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ ที่อยู่บนผื่นแผ่นดินเดียวกันและช่วยกันสร้างสันติโดยไร้พรมแดน.